31 ธันวาคม 2553

เมื่อดาวิดต้องเป็น “มนุษย์ถ้ำ”

จากการเป็นนักรบที่มิใช่ชนะคู่ต่อสู้พันธุ์ยักษ์เท่านั้น แต่ได้ชนะข้าศึกรอบด้าน สามารถปราบปรามอริราช สังหารศัตรูจำนวนหมื่นจนได้รับการยกย่องสรรเสริญจากมวลชน แต่นั่นก็เป็นสาเหตุให้กษัตริย์ซาอูลอิจฉาและเริ่มหวั่นไหว ไม่ไว้วางใจดาวิดผู้เป็นลูกเขย จนเหตุการณ์เลวร้ายถึงขนาดกษัตริย์ซาอูลหาทางกำจัดดาวิดที่ตนมองว่าเป็นเสี้ยนหนามของตน ในที่สุดดาวิดเองต้องหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวเกือบไม่รอด

1ดาวิดก็จากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพี่ชายของท่านและพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้นได้ยินเรื่องเขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น 2นอกนั้นทุกคนที่มีความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่านประมาณสี่ร้อยคน

3ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลพระราชาเมือง โมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการ ใดเพื่อข้าพเจ้า” 4และท่านก็นำบิดามารดามาฝากไว้กับพระราชาแห่งโมอับ และท่านทั้งสองก็อาศัยอยู่กับพระราชาตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง
(1ซามูเอล 22:1-4)

จากการออกศึกในพระนามของพระเจ้า ปกป้องแผ่นดินที่ทรงประทานและประชากรของพระเจ้าด้วยการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่ตอนนี้ ดาวิดกลับต้องหนีและซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม เรียกว่าต้องมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ หนึ่ง ถูกห้อมล้อมด้วยความทุกข์ยากลำบาก ประสบการณ์ของดาวิดเป็นกระจกเงาสะท้อนถึงชีวิตของผู้คนจำนวนมากมายในโลกนี้ ที่มีชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น

การมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ หนึ่งนั้น คือการที่มีชีวิตที่ตระหนักรู้ว่าชีวิตต้องก้าวต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องก้าวไปสู่สภาพเช่นที่ประสบพบเจออยู่นี้ มีแต่ความเลวร้าย ความชั่วร้าย คอยวนเวียนจ้องที่จะกระโดดเข้าตระครุบ ไม่ว่าในที่ทำงาน ในบ้าน ทำให้ชีวิตต้องหมดแรงทิ้งตัวลงนอนอย่างสิ้นหวังในแต่ละค่ำคืน

ยิ่งกว่านั้น ดาวิดได้พบว่าตลอดเดือนที่ผ่านมาชีวิตของเขาต้องอยู่ล้าหลังคนอื่นแทนที่ควรจะก้าวล้ำหน้าคนอื่นไป ชีวิตแบบนี้แหละที่เป็นชีวิตที่สู้เพื่อที่จะอยู่รอดไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น และนี่ก็เป็นชีวิตที่เป็นจริงในชีวิตของอีกหลายๆ คนในปัจจุบัน เรารู้สึกว่าชีวิตเราเหมือนสภาพนี้ก็ต่อเมื่อชีวิตของเราต้องตกลงในหลุมพรางหรือถูกกับดักมัดตัวอยู่ใน “ถ้ำ” แห่งความทุกข์ยากลำบาก เป็นความทุกข์ยากลำบากที่เราไม่สามารถสลัดให้หลุดรอดออกมาได้

ครั้งเมื่อดาวิดหนีออกมาจากเมืองกัทมาซ่อนตัวอยู่ที่ถ้ำอดุลลัมนั้น เขามิเพียงแต่ต้อง “เลียแผลชีวิต” ที่เกิดจากความเลวร้ายและอันตรายรอบด้านในชีวิตของเขาเท่านั้น เขาต้องดูแลคนอีก 400 คน ทั้งคนที่มีความทุกข์ร้อน คนที่มีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว คนที่ไม่พอใจกับเหตุการณ์ในชีวิตของเขา คนที่ได้รับความไม่ยุติธรรม คนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ นอกจากดาวิดต้องประสบพบกับมรสุมชีวิตอย่างหนักแล้วในที่สุดเขาต้องเป็นหัวหน้าคนที่มีปัญหาสารพัดเหล่านี้ด้วย

แต่การใช้ชีวิตและทำงานร่วมกับคนเหล่านี้ที่ชีวิต “ตกอยู่ในกับดักแห่งความทุกข์ยากลำบาก” เป็นแผนการอันดีเลิศขององค์พระเป็นเจ้า ที่ให้ประสบการณ์และสร้างเสริมบทเรียนชีวิตแก่ดาวิด ซึ่งเป็นบทเรียนชีวิตที่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อชีวิตต้องจมดิ่งลงในความทุกข์ยากเท่านั้น ท่านสามารถสืบค้นจนพบว่า บทเรียนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมดาวิดในการรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าในการเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล

จากประสบการณ์การตกอยู่ในถ้ำกับดักความทุกข์ยากแห่งชีวิตนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งประสบการณ์ชีวิตที่ดาวิดได้เขียนบทเพลงสุดดีจากประสบการณ์และบทเรียนชีวิตได้มากกว่าประสบการณ์ครั้งอื่นใดในชีวิตของเขา เราขอเรียกว่าชุดบทเพลงสดุดีจาก “ถ้ำแห่งความทุกข์ยาก” นี้ประกอบด้วยสดุดีบทที่ 4, 13, 40, 57, 70, 141 และ 142 เป็นบทเพลงสดุดีที่กล่าวถึงบทเรียนชีวิตในการเอาชนะความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งเมื่อเราไม่สามารถจะไขว่คว้าหาความช่วยเหลือจากแหล่งใดเลย หรือเมื่อต้องอยู่ห่างไกลจากบ้านและครอบครัว และความรู้สึกที่ว่าไม่รู้ชีวิตจะก้าวอย่างไรได้ต่อไป ตัวอย่างเช่น

สดุดี บทที่ 4
1ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงให้ประจักษ์ว่า ข้าพระองค์เป็นฝ่ายชอบธรรม
ขอทรงโปรดตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล
เมื่อข้าพระองค์จนตรอก ขอพระองค์ประทานช่องทางให้
ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ และทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
2ท่านผู้ดีเอ๋ย ข้าพเจ้าจะต้องเสื่อมเกียรติไปอีกนานเท่าใด
ท่านจะรักคำไร้ค่า และแสวงการมุสาอีกนานเท่าใด
3จงทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงแยกธรรมิกชนไว้สำหรับพระองค์
พระเจ้าทรงสดับฟังเมื่อข้าพเจ้าทูลพระองค์
4โกรธก็โกรธเถิด แต่(หรือ จงเกรงกลัว และ) อย่า ทำบาป
จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่

สดุดี บทที่ 13
1ข้าแต่พระเจ้า อีกนานเท่าใด(ที่)พระองค์จะทรงลืมข้าพระองค์เสียเป็นนิตย์
หรือพระองค์จะเบือนพระพักตร์จากข้าพระองค์นานเท่าใด
2ข้าพระองค์จะต้องตรึกตรองในใจของข้าพระองค์
และมีความทุกข์โศกอยู่ในใจตลอดไปนานเท่าใด
ศัตรูของข้าพระองค์จะเหนือข้าพระองค์นานเท่าใด
4เกรงว่าศัตรูของข้าพระองค์จะว่า “เราชนะเขาแล้ว”
เกรงว่าคู่อริของข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์เพราะ ข้าพระองค์กำลังหวั่นไหว
5แต่ข้าพระองค์วางใจในความรักมั่นคงของพระองค์
จิตใจของข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์
6ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำแก่ข้าพเจ้าอย่างดี

สดุดี บทที่ 142
1ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้า ด้วยเสียงของข้าพเจ้า
ด้วยเสียงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวิงวอนต่อพระเจ้า
2ข้าพเจ้าหลั่งคำคร่ำครวญของข้าพเจ้าออกมาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
ข้าพเจ้าทูลเรื่องความลำบากยากเย็นของข้าพเจ้าต่อพระองค์
3เมื่อใจของข้าพระองค์อ่อนระอา พระองค์ทรงทราบทางของข้าพระองค์
ในวิถีที่ข้าพระองค์เดินไป เขาซ่อนกับไว้ดักข้าพระองค์
4ขอพระองค์ทรงมองทางขวาและทอดพระเนตร เพราะไม่มีใครสังเกตดูข้าพระองค์
ข้าพระองค์ไม่มีที่หลบภัย ไม่มีใครเอาใจใส่ข้าพระองค์
5ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์
ข้าพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
เป็นส่วนของข้าพระองค์ในแผ่นดินของคนเป็น
6ขอทรงฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ตกต่ำมากนัก
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากผู้ข่มเหงข้าพระองค์
เพราะเขาแข็งแรงเกินกำลังข้าพระองค์
7ขอทรงพาข้าพระองค์ออกจากคุก
เพื่อข้าพระองค์จะโมทนาพระคุณแด่พระนามของพระองค์
คนชอบธรรมจะล้อมข้าพระองค์ไว้
เพราะพระองค์จะทรงกระทำอย่างดีแก่ข้าพระองค์

ในสภาพชีวิตที่ทุกข์ยากลำเค็ญในวันนี้ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะเตรียมและสร้างเราให้พร้อมสำหรับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่สำคัญของพระองค์ในอนาคต เพื่อเราจะสามารถดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติสรรเสริญพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น