04 มกราคม 2554

สัจจะที่รับได้ยาก

คริสต์ศาสนศาสตร์ภาคประชาชน: ว่าด้วยเรื่องรางหญ้า ตอน 1

พระคริสต์มาบังเกิดในโลกนี้ “รางหญ้า” ในคอกสัตว์เป็นที่ๆ มีที่ว่างพอจะรองรับทารกน้อยที่เป็นพระคริสต์ที่เสด็จเข้ามาในโลกนี้

ท่ามกลางความเจริญด้านการคมนาคม การสื่อสารไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกกว่าสมัยใดก่อนหน้าในสมัยนั้น ทำให้เกิดการสื่อสารติดต่อและการทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันบนเส้นทางหลักและเป็นเส้นทางใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคที่พระคริสต์มาบังเกิด

ในยุคสมัยที่ลด-เว้นจากการทำสงครามขนาดใหญ่ ดูเหมือนโลกมี “สันติภาพ” แต่เป็นสันติภาพที่เกิดจากมหาอำนาจที่ครอบงำ กด บังคับ ให้อยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิโรมัน เป็นยุคที่จักรพรรดิโรมันปกครองเมืองขึ้นต่างๆ ที่กว้างไกล อิสราเอลก็ไม่สามารถรอดพ้นจากอำนาจการครอบงำและกดบังคับนี้ แต่ผู้นำทางศาสนาของอิสราเอล คนที่อยากมีอำนาจได้ใช้โอกาสนี้ในการเข้าเล่นการเมืองในฐานะผู้นำเมืองขึ้น พ่อค้า คนเก็บภาษี ต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อมหาอำนาจเพื่อหวังที่จะมีอำนาจที่เอื้อผลประโยชน์และสร้างฐานะทางสังคม และชื่อเสียงของตนเอง ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง เพื่อตนจะมีอำนาจในบ้านเมืองของตนเอง ปุโรหิต ธรรมมาจารย์ และฟาริสีก็ “กระโดดลงในบ่อโคลน(ขี้หมู)แห่งอำนาจ” นี้ด้วย

ที่กล่าวว่าผู้นำศาสนายิวในสมัยนั้น “กระโดดลงในบ่อโคลน(ขี้หมู)แห่งอำนาจ” นั้นต้องการสื่อความว่า ผู้นำศาสนายิวได้ลดคุณค่าของตนเองกระโดดลงเอาชีวิตคลุกเคล้าในบ่อโคลนตมที่เป็นของสกปรกที่สุดคือ “ขี้” และมิใช่ขี้ธรรมดาเท่านั้นแต่เป็นขี้หมูซึ่งเป็นสัตว์สกปรกต้องห้ามในศาสนายิวอีกด้วย ที่กล่าวเช่นนี้มิได้กล่าวหาเกินเลย เพราะผู้นำศาสนาส่วนใหญ่ได้สมยอมต่ออำนาจของผู้ปกครองเมืองขึ้นโรมันจะด้วยความตั้งใจมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

การสมยอมที่กระโดดลงในบ่อโคลนขี้หมูคือการสมยอมในเรื่องความเชื่อศรัทธาของยิว ที่ยอมปรับลดความเข้มของความเชื่อศรัทธาให้สอดคล้องกับหลักการและกรอบอำนาจ และวิธีการของโรมัน ที่มีจักรพรรดิเป็นเทพเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง จึงต้องให้การเคารพจักรพรรดิดั่งเป็นพระเจ้า ทั้งนี้เพื่อสร้างให้มั่นใจว่าโรมันสามารถปกครองครอบงำและแผ่อำนาจได้อย่างกว้างไกลและเข้มแข็งมั่นคง ดังนั้น ประชาชนในจักรวรรดิโรมันทั้งหมดต้องสวามิภักดิ์ต่ออำนาจนี้

ในจุดนี้เองที่ผู้นำศาสนายิวได้ปรับเปลี่ยน “สี” ผิวของตนเองอย่าง “จิ้งจก” เพื่อตนจะอยู่รอด เพื่อตนจะได้รับการไว้วางใจจากอำนาจทางการเมืองการปกครอง เพื่อตนจะใช้เครื่องมือทางอำนาจของภาครัฐและนิตินัยเป็นอำนาจของตนในการปกครองชุมชนคนยิว แล้วก็ได้ตั้งสภาศาสนา “สภาเซนเฮดริน” ทำหน้าที่สร้างอำนาจชอบธรรมของผู้นำศาสนา และเพื่อปกป้องให้กลุ่มของตนมีอำนาจนานเท่านาน แล้วลอกเลียนรูปแบบและวิธีการ “สภาทางการเมืองการปกครอง” ของโรมันในสมัยนั้นมาใช้อีกด้วย

การเปลี่ยนสีของจิ้งจกของผู้นำศาสนายิวในสมัยนั้นได้กระทำในสิ่งที่เราสมัยนี้เรียกว่า “วาระซ่อนเร้น” ที่ว่าซ่อนเร้นคือมีการลดทอนความ “สมบูรณ์ของคำสอนที่เสริมสร้างความเชื่อศรัทธา” ในส่วนรากฐานที่สำคัญลงเพื่อลดแรงเสียดทานและการขัดแย้งกับคำสอนและความเชื่อของอำนาจทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งของจักรวรรดิโรมันในเรื่องจักรพรรดิเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง กับความเชื่อศรัทธาของยิว โดยเฉพาะ “พระบัญญัติสิบประการ” ใน 4 ประการแรกที่เป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาเกี่ยวกับพระเจ้าของยิว (อพยพ 20:3-8)
1) อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
2) อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดที่มีอยู่ในฟ้าเบื้องบนหรือบนแผ่นดินเบื้องล่างหรือในน้ำใต้แผ่นดินอย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น
3) อย่าออกพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร
4) จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์

ความเชื่อศรัทธาศาสนายิวในพระบัญญัติ 4 ประการแรกข้างต้นนี้ขัดแย้งอย่างแรงกับความเชื่อศรัทธาทางการเมืองจักรวรรดิโรมันในเวลานั้น เพราะโรมันเชื่อว่า พระมหาจักรพรรดิเป็นเทพเจ้า เป็นพระเจ้า ดังนั้น ทุกคนจะต้องเคารพบูชาพระจักรพรรดิในฐานะพระเจ้าองค์หนึ่ง โดยเฉพาะใน 2 ข้อแรกนั้นขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น เพื่อจะร่วมอำนาจการปกครองกันได้คือการประนีประนอมด้วยการไม่เน้นย้ำสองข้อแรกนี้ หรือสอนให้น้อยที่สุดถึงความหมายที่แท้จริง ซึ่งเราจะพบว่า พระเยซูคริสต์ได้บริภาษพวกผู้นำศาสนายิวในเวลานั้นว่า “หน้าซื่อใจคด” (หมายความว่า ภายนอกดูเป็นผู้นำศาสนาและในใจคิดคดทรยศต่อพระเจ้าและความเชื่อศรัทธาของตน)

ดังนั้น ผู้นำศาสนาในสมัยนั้น จึงไปเน้นย้ำความสำคัญเคร่งครัดของการประกอบศาสนพิธี ในการสอนความหมายตามตัวอักษร ไปเน้นกฎหยุมหยิมที่ตนตราขึ้น มิได้ลงลึกถึงความหมายที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เช่น การที่พระเยซูคริสต์วิพากษ์การถือวันสะบาโตของพวกผู้นำศาสนายิวที่ยึดถือตามตัวอักษรมากกว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ออกพระนามของพระเจ้าก็เพียงเพื่อ “ผลประโยชน์และเสริมสร้างอำนาจแห่งตน” เท่านั้น (ออกพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร) อย่างที่กล่าวแล้วว่า ผู้นำศาสนายิวไปเน้นความสำคัญของการประกอบศาสนพิธี (มัทธิว 6:1-6; 16-21) มากกว่าการติดสนิทและสัตย์ซื่ออุทิศชีวิตตนแด่พระเจ้า ตัวอย่างเช่น การถวายทศางค์ แทนที่จะเน้นการถวายทศางค์ชีวิต แต่ไปเน้นการถวายทศางค์เมล็ดผักชี ฯลฯ

นอกจากเน้นเรื่องศาสนพิธีแล้ว ผู้นำศาสนามุ่งสอนเรื่องจริยธรรมที่จะให้เป็น “คนดี” ซึ่งเป็น 6 ข้อหลังในพระบัญญัติ 10 ประการ ประเด็นสำคัญในที่นี้ของความเชื่อศรัทธาในศาสนายิวและคริสต์ศาสนาคือ หกประการหลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มี 4 ข้อแรกที่เป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาที่มั่นคง หรือกล่าวแบบฟันธงคือการปฏิบัติตามพระบัญญัติ 10 ประการ หกประการหลังนั้นจะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่เริ่มต้นและวางรากฐานของ 4 ข้อแรกก่อน และนี่คือจุดสำคัญที่บ่งชี้ชัดเจนว่า คำสอนในแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน คริสต์ศาสนามิได้มีเป้าหมายสอนคนให้เป็นคนดี แต่ต้องการสอนและบ่มเพาะให้ทุกคนรู้จักกับพระเจ้า ติดสนิทกับพระองค์ มอบกายถวายชีวิตทั้งสิ้นแด่พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเสริมสร้าง เปลี่ยนแปลงชีวิตแต่ละคนตามพระประสงค์ของพระองค์ และนี่คือรากฐานหรือจุดเริ่มต้นของการเป็น “คนดี” การเป็น “คนดี” จึงเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น พระเยซูคริสต์มิได้สอนให้ประชาชนเป็นคนดี แต่ทรงสอนให้เป็น “ผู้ดีรอบคอบ” อย่างพระบิดา (มัทธิว 5:45-48)

ในสภาพสังคมและความเชื่อศรัทธาเช่นนี้เองที่พระคริสต์ได้มาบังเกิด พระองค์ทรงบังเกิดในรางหญ้า รางหญ้าที่เป็นที่ตกต่ำสุดในชีวิต พระองค์ทรงบังเกิดในจุดต่ำสุดของชีวิตมนุษย์

รางหญ้าจุดต่ำสุดของชีวิตเพราะการครอบงำ กดขี่ การหลงผิดของอำนาจทางศาสนาและการเมืองในเวลานั้น พระคริสต์ทรงบังเกิดในจุดต่ำสุดของชีวิตมนุษย์และชีวิตของสังคมเพื่อจะทรงเปลี่ยนแปลงที่รากฐานของชีวิตเพื่อนำไปสู่ชีวิตใหม่

รางหญ้าจุดต่ำสุดของชีวิตที่เมื่อชีวิตไม่มีคำตอบ ไร้แสงสว่าง มืดบอด ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทางไหนดี พระคริสต์ทรงเป็นแสงสว่างนำทางสู่ชีวิตใหม่

รางหญ้าจุดต่ำสุดของชีวิตมีทั้งในผู้คนเล็กน้อยต่ำต้อยและในผู้มีฐานะมั่งมีอย่างคนเก็บภาษีในเวลานั้น หรือผู้นำศาสนาอย่างนิโกเดมัส หรือ พวกนักการเมืองฝ่ายซ้ายสังกัดพรรคชาตินิยม เมื่อพระคริสต์ทรงบังเกิดใน “รางหญ้า” จุดต่ำสุดในชีวิตของคนเหล่านี้ เขาได้พบกับความสว่าง เขาได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์

พระคริสต์มิได้บังเกิดใน “รางหญ้า” ในคอกสัตว์วันคริสต์มาสเท่านั้น แต่พระองค์ประสงค์ที่จะบังเกิดใน “รางหญ้า” จุดต่ำสุดในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อนำแสงสว่างแห่งชีวิตเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อเปลี่ยนแปลง และ บ่มเพาะชีวิตของเราใหม่ ให้เป็นชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า เฉกเช่น ศักเคียส มัทธิว หญิงโลหิตตก คนตาบอด และคนโรคเรื้อน และคนอื่นๆ อีกมากมายที่ได้พบชีวิตใหม่ในพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น