16 มกราคม 2554

สำคัญสุดในชีวิต

33แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้ (TBS02b, มัทธิว 6:33)

บ่อยครั้งนักที่เราแสวงหาพระพรของพระเจ้าแทนที่จะแสวงหาพระเจ้า
บ่อยครั้งเรามักจะแสวงหา “พระหัตถ์” ของพระเจ้า มากกว่า “พระทัย” ของพระองค์
บ่อยครั้งเรามักไปหาพระเจ้าเหมือนไปห้างสรรพสินค้า

เพื่อหาสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของเรา
เมื่อเราไปจับจ่าย “ในห้างสรรพสินค้าแห่งสวรรค์”
เราต้องการสิ่งของมากมายเกินกว่ารถเข็นจะรองรับได้
แทนที่จะเรียนรู้ที่จะฟังให้ได้ยินถึงพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เราเห็นแก่ตัวเรียกร้องแต่สิ่งเราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา

บ่อยครั้งที่เราขอให้พระเจ้าช่วยเราให้รอดพ้นจากความกดดันในชีวิต
แทนที่จะขอกำลังชีวิตที่จะอดทนต่อแรงกดดันเหล่านั้น
เพื่อเราจะได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตและเติบโต แข็งแรงจากแรงกดดันเหล่านั้น

เรากำลังหลอกลวงตนเอง และ หลงผิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
การที่เราจะติดตามพระองค์ หรือ จะรับพระพรจากพระองค์ได้
ก็ต่อเมื่อเราได้พบกับพระองค์ และ เรียนรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้นเท่านั้น

ทำไมเราถึงปรารถนาที่จะให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนช่วยในชีวิตของเรา?
ทำไมเราถึงคิดว่าตนรู้ว่าตัวเราเองต้องการอะไร?
เราหยิ่งยโสแค่ไหนที่กล้าสอนพระเจ้าว่าจะเป็นพระเจ้าได้อย่าง? และควรเป็นพระเจ้าแบบไหน?
หลายครั้งมิใช่หรือที่เราเป็นเหมือนเด็กที่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า

แล้วโอดครวญด้วยความหงุดหงิดในสิ่งที่เราต้องการให้พระองค์ช่วยแก้ไขเปลี่ยนแปลง
แทนที่จะยกย่องสรรเสริญพระองค์สำหรับพระกำลังของพระองค์ที่จะช่วยให้เราอดทนได้

พระคัมภีร์สอนให้เราวิงวอนทูลขอทุกเรื่องให้พระเจ้าทรงทราบ(ฟิลิปปี 4:6)
และพระวจนะของพระเจ้าก็ได้ทรงเรียกเราไปให้ถึงสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต

ให้เรารักพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดความคิด สิ้นสุดกำลังของเรา(มัทธิว 22:37)
สิ่งที่สำคัญที่แท้จริงที่สุดคือ การแสวงหาพระเจ้า และการแสวงหาพระองค์ก่อน

พระเจ้าทรงรู้จัก เนื้อหนังของเรา จิตใจที่อยากได้ใคร่มีไม่รู้จักจบจักพอ
สิ่งนี้ได้ทำให้ความวิตกกังวลเกิดขึ้นในชีวิตของเราโดยไม่จำเป็น

พระวจนะของพระองค์ได้ให้ข้อสรุปที่น่าอัศจรรย์สำหรับชีวิตของเราให้รู้จักการจัดลำดับความสำคัญ
พระองค์สัญญาว่า ถ้าเราติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด

เราจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายและได้ผ่อนพักอย่างสงบสันติในพระองค์
ความจำเป็นต้องมีจะได้รับการทรงตอบสนอง เพราะพระองค์ทรงรักเรา

30และถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ พวกมีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? (TBS)
31ฉะนั้น อย่ากังวลว่า “เราจะเอาอะไรกิน?” หรือ “เราจะเอาอะไรดื่ม?” หรือ “เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?” 32เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และ(ดำเนินชีวิตตาม) ความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะทรงประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย(IBS, ตัวเอนของผู้เขียน)
34เพราะฉะนั้นอย่ากังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว (IBS)

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บอกกับเราว่า...
“ขนาดดอกไม้ป่า ดอกหญ้าในทุ่งพระเจ้ายังให้ความสนใจและเอาใจใส่ ซึ่งปกติแล้วสิ่งเหล่านี้มักถูกมองผ่านเลยไป แล้วเราท่านจะไม่คิดหรือว่า พระองค์จะทรงเอาใจใส่ชีวิตของเราแต่ละคน? และทรงกระทำสิ่งที่ดีที่สุดแก่มนุษย์? พระดำรัสของพระคริสต์ในตอนนี้กำลังเปิดเผยน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระเจ้า เปิดเผยถึงการเอาใจใส่ของพระบิดา เพื่อให้เราได้รู้จักพระองค์อย่างถูกต้อง แล้วรู้ที่จะไว้วางใจในพระองค์ ชีวิตในทุกสถานการณ์ของเราจึงผ่อนคลาย ได้รับการผ่อนพักในพระองค์ แทนที่ชีวิตจิตใจมนุษย์ปัจจุบันจะถูกครอบงำด้วยอำนาจที่ทำให้เราอยากได้ใคร่มีไม่รู้จักพอจนนำสู่ความวิตกกังวลในชีวิต

พระคัมภีร์ตอนนี้เขียนไว้ว่า “คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า” จะถูกครอบงำด้วยความคิดอยากได้ใคร่มี แล้วทำทุกอย่างตามอำนาจที่ครอบงำนั้น ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำขอ บางครั้งถึงกับเร่งรัดพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คนที่แสวงหาการรู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นทุกวันก็จะรู้ถึงพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ เขาผู้นั้นจะก้าวย่างชีวิตไปในทางที่สูงชันและขรุขระด้วยความไว้วางใจในสัจจะความจริงของพระเจ้า ไว้วางใจถึงพระประสงค์และแผนการของพระองค์ ไว้วางใจถึง “การทรงจัดเตรียม” ของพระเจ้า ชีวิตจึงไม่ถูกยึดกุมด้วยความวิตกกังวลว่า “จะไม่ได้”
ให้เราสนใจการมุ่งมองของเราไปสิ่งที่พระเจ้ากำลังกระทำในขณะนี้ แล้วไม่ต้องวุ่นวายใจหรือห่วงหากังวลว่าอะไรจะต้องเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ พระเจ้า “ทรงจัดเตรียม” แผนการขั้นตอนที่จะช่วยและหนุนนำว่า เราควรจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยากลำบาก และ ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาข้างหน้า

ให้เราตัดสินใจทิ้ง “รายการอยากได้ใคร่มี” แล้วแสวงหาพระเจ้า
ให้เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ อยู่กับพระองค์ด้วยจิตใจแห่งการยกย่องสรรเสริญและเทิดทูนพระองค์
ให้เราดำเนินชีวิตทุกขณะจิตอยู่ต่อหน้าพระองค์
ให้เราทบทวนและระลึกถึงพระคุณของพระองค์ในชีวิตของเรา
ให้เราเบิกบานในพระคุณของพระองค์
ให้เรารักพระองค์
ให้เราแสวงหาพระองค์
ให้เราอธิษฐานและแสวงหาการติดสนิทกับพระองค์
ให้เราแสวงหาพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใด

พระเยซูคริสต์ตรัสเรียก “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านพักสงบ จงรับแอกของเราแบกไว้และเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ” (อมตธรรม, มัทธิว 11:28-29) ในที่นี้ผมไม่ได้เสนอว่า ให้เราทิ้ง “ภาระหนัก” ของเราก่อนเข้าไปหาพระเจ้า เราต้องนำ “ภาระหนัก” เข้าเฝ้าพระเจ้าด้วย แต่พึงตระหนักชัดว่า พระเจ้าทรงประสงค์ความรักของเราที่มีต่อพระองค์ ก่อนการร้องขอรายการ “อยากได้ใคร่มี” จากพระองค์

พระเจ้าทรงรักเราทุกคนอย่างมากมาย พระองค์ทรงมีพระประสงค์และแผนการสำหรับชีวิตของเราแต่ละคน ดังนั้น แผนการของพระองค์จึงสมบูรณ์พูนครบและล้ำลึกกว่าความเข้าใจและความปรารถนาของเรา เมื่อเราทบทวน ใคร่ครวญ และระลึกได้ว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ชีวิตของเราจึงเกิดความไว้วางใจในพระองค์ เพราะเราไว้ใจพระองค์ที่จะทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา ทำพระราชกิจเพื่อชีวิตของเรา และทรงกระทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเรา และเมื่อนั้นชีวิตของเราจะกลับกลายเป็นชีวิตที่นำการเทิดทูน สรรเสริญ และยกย่องพระองค์

ให้เราตระหนักชัดเสมอว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นทุกสิ่งในชีวา...
เลิกที่จะแสวงหาพระพร และ การบอกพระเจ้าให้ตอบสนองสิ่งที่เราต้องการ
แต่ให้เราแสวงหาพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์ก่อน
จากนั้นเราจะเกิดความไว้วางใจในแผนการชีวิตที่พระองค์ “ทรงจัดเตรียม” ไว้สำหรับเราแต่ละคน
แล้วจิตใจของเราจะได้พักสงบในพระคุณของพระองค์

ประเด็นสำหรับใคร่ครวญ หรือ สนทนาในกลุ่มเล็ก
1) ให้เราทบทวน ไตร่ตรองว่า ชีวิตที่ผ่านมา พระเจ้าได้ตอบสนองในสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีอะไร อย่างไรบ้าง? ท่านยังมั่นใจหรือไม่ว่า พระองค์ยังจะตอบสนองความจำเป็นต้องมีของเราในปัจจุบัน?
2) พระเจ้ามิได้ให้ความสนใจเอาใจใส่ต่อเรื่องความจำเป็นต้องมีในชีวิตของท่านเท่านั้น พระเจ้าทรงสนใจและเอาใจใส่เรื่องชีวิตจิตใจและจิตวิญญาณของท่านด้วย
3) ให้อ่าน ใคร่ครวญ และท่องจำพระธรรมสดุดี 37:4 “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะประทานสิ่งที่ใจของท่านปรารถนา” (อมตธรรม)
4) ในสัปดาห์นี้ให้เราแต่ละคนเพิ่มเวลาวันละ 5 นาที ในการใคร่ครวญและฟังพระเจ้าในช่วงการอธิษฐานของเรา หลังจากนั้นลองทบทวนและประมวลว่าชีวิตของท่านเป็นอย่างไรบ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น