30 มกราคม 2554

องค์ประกอบ 5 ประการของการเติบโตเข้มแข็งในภาวะผู้นำ

เกษตรกรรู้ดีว่า พืชที่เพาะปลูกจะเติบโตและเกิดผลได้อย่างอุดมสมบูรณ์นั้นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ เช่น เมล็ดพันธุ์ที่จะใช้ในการเพาะปลูกต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นดินที่จะใช้ปลูก อีกทั้งต้องสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศที่ในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย กล่าวคือต้องปลูกเมล็ดที่เหมาะสมในผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ นอกจานั้นแล้วจะต้องมีแสงแดดที่พอเพียงเหมาะสมกับพืชชนิดนั้นๆ มีความชื้นหรือน้ำเหมาะสมเพียงพอกับพืชพันธุ์ที่ปลูก และมีอุณหภูมิตลอดจนการถ่ายเทอากาศเหมาะสมอีกด้วย เมล็ดจึงจะงอกหรือแตกหน่อ แล้วเติบโตขึ้น ออกดอกและเกิดผล ถ้าองค์ประกอบหนึ่งองค์ประกอบใด (เมล็ด พื้นที่ปลูก แสงแดด อากาศ และน้ำ/ความชุ่มชื้น) ไม่เหมาะสมหรือสอดคล้องกันแล้ว การงอก เติบโต และการเกิดผลอาจจะเกิดการหยุดชะงัก หรือ ไม่เกิดผล

การเติบโต แข็งแรงขึ้นในด้านภาวะผู้นำก็จำเป็นที่มีองค์ประกอบที่สอดคล้องเหมาะสมเช่นกัน เช่นถ้าคนๆ นั้นไม่มีมุมมองหรือทัศนคติ และ พฤติกรรม/การกระทำที่เหมาะสมถูกต้อง ผลที่เกิดขึ้นและความอยากได้ใคร่มีของผู้นำคนนั้นก็จะ “พ่นพิษ” และ สร้างความล้มเหลวเสียหายมากกว่าการที่นำความเติบโต เกิดผลทั้งต่อตัวของผู้นำและคนรอบข้าง ให้เราพิจารณาถึงองค์ประกอบพื้นฐานของคุณภาพที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและเกิดผลในภาวะของผู้นำแต่ละคน

1. เปิดชีวิตรับการสอนและสร้าง
การหยิ่ง ยโส จองหอง ถ้ามีในคนไหนแล้วสิ่งเหล่านี้จะยึดกุมพื้นที่ในชีวิตจิตใจของคนๆ นั้นจนไม่เหลือแม้แต่มุมเล็กๆ ที่จะให้เกิดการพัฒนาและรับการเสริมสร้างจากผู้คนรอบข้าง (มิใช่คนที่เหนือกว่าเท่านั้น แต่รวมถึงลูกน้องหรือคนที่ต่ำด้อยกว่าด้วย) ดังนั้น การนอบน้อมถ่อมตนจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญ เติบโต และเกิดผลในชีวิตของแต่ละคน ดังคำกล่าวที่ว่า “การเปิดความนึกคิดแห่งตนเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบตนเองและนำไปสู่การเติบโต เข้มแข็งในชีวิต เราจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยจนกว่าเจ้าตัวจะยอมรับว่า เราไม่ได้รู้ในทุกเรื่องทุกราว”

การเริ่มต้นยอมการปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือมุมมองในเรื่องต่างๆ ของเราช่วยให้เราเป็นคนที่ยอมรับการสอนสร้างจากผู้คนรอบข้าง คนเริ่มต้นพัฒนาตนเองคือคนที่ตระหนักชัดว่าตนไม่รู้เรื่องนั้นๆ ทั้งหมด และยอมที่จะลงมือปฏิบัติตามการสอนสร้างจากคนและสภาพรอบด้าน หลักการพื้นฐานในที่นี้คือ คนๆ นั้นเปิดใจเปิดชีวิตด้วยความถ่อม ให้ความสนใจ แล้วขจัดความ “ยึดมั่นถือมั่น” ตนเองอย่างแข็งทื่อตายตัวกับประสบการณ์และความเข้าใจเดิมๆ นี่คือการเริ่มต้นที่นำไปสู่ประสบการณ์ใหม่ๆ ความเข้าใจใหม่ๆ และ นำไปสู่การบรรลุความสำเร็จ เราแต่ละคนจะมีจิตใจที่เปิดกว้างยอมรับได้ไม่ยาก เพียงยอมรับว่าตนเองกำลังเป็นคนที่เริ่มต้นเรียนรู้ ตั้งใจที่จะเรียนรู้ แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ไม่ควรหลงลืมหรือลืมตัวคือ ต้องยืนมั่นที่ต้องการเปิดใจเปิดชีวิตยอมรับการสอนสร้างเสมออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มต้นไปขั้นหนึ่งที่เราได้ก้าวไปข้างหน้าระดับหนึ่งแล้ว ไม่ควรทะนงหลงตนคิดว่าตนเองรู้แล้วเก่งแล้ว แต่ยังต้องเปิดชีวิตจิตใจที่รับการสอนสร้างต่อไปและต่อเนื่อง

2. ด้วยใจเสียสละ
การที่จะมีภาวะผู้นำที่เติบโตเข้มแข็งในตัวเรานั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีจิตใจที่จะ “ให้ด้วยใจรัก” ยอมที่จะเป็นฝ่ายให้และเสียสละ เริ่มตั้งแต่ที่จะยอมเสียสละความคุ้นชินกับแบบแผน หรือ รูปแบบเดิมๆ ที่ตนเองคุ้นเคย ยอมที่จะละหยุดระบบคุณค่าที่ตนเองยึดมั่น หรือ ยอมที่จะทำในบางสิ่งบางเรื่องที่เรายังไม่เห็นคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในลักษณะใดทั้งสิ้น สิ่งที่เราได้ในชีวิตมักมาจากผลพวงของการที่เรายอมเสียสละในบางสิ่งบางอย่าง เราจะต้องยอมที่จะเสียสละบางอย่างเพื่อก้าวข้ามไปสู่การมีภาวะผู้นำสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง

3. ความรู้สึกปลอดภัย
การที่เราจะเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตของเรานั้น เราต้องพร้อมและเต็มใจที่จะกล่าวว่า “ผมยังไม่รู้ในเรื่องนี้เลย” ไม่ว่าท่านจะอยู่ในตำแหน่งสูงเพียงใดก็ตาม อาจจะเป็นการยากที่ผู้มีตำแหน่งในการบริหารระดับสูงจะบอกกับคนใต้บังคับบัญชาว่าตนเองยังไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะเขามักเข้าใจว่า ลูกน้องในบังคับบัญชาของเขามุ่งมองมาที่เขาเพื่อจะรู้ว่าทิศทางขององค์กรของงานจะไปสู่เป้าหมายใด และผู้บริหารก็คงไม่ต้องการให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของตนต้องเสียขวัญและความมั่นใจในการทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้มุ่งมองหา “ผู้นำ” ที่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาแสวงหาผู้นำที่ “จริงใจ” “น่านับถือ” และเป็นผู้นำที่ “หนุนเสริมเพิ่งพลังใจและการทำงาน” แก่ลูกน้อง เป็นผู้นำที่ไม่หย่อนย่อท้อแท้ต่ออุปสรรคที่องค์กรกำลังเผชิญหน้า ไม่ยอมหยุดยั้งขับเคลื่อนจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข ผู้นำเช่นนี้ที่ทำให้ทีมงานทั้งองค์กรรู้สึกปลอดภัยมั่นคงและต้องการ “ลุย” ไปกับผู้นำ

ในเวลาเดียวกันเราเองก็จะเป็นผู้นำที่รู้สึกมั่นคงปลอดภัยในการนำ เพราะเรารู้และมั่นใจว่าเรามิได้นำด้วยตัวเราคนเดียว แต่เรารู้สึกมั่นคงเพราะเรารู้ว่า ทุกคนในองค์กร หรือ อย่างน้อยที่สุดผู้คนส่วนใหญ่ในองค์กรของเราพร้อมที่จะขับเคลื่อนไปกับเรา

4. เปิดใจฟัง และ ฟังอย่างใส่ใจ
ฟัง เรียนรู้ และถามจากบางคนที่ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำ เรียนรู้ และ ใช้ประสบการณ์ของผู้ประสบความสำเร็จเหล่านี้เพื่อเราจะไม่ต้องกระทำผิดซ้ำซากในสิ่งที่ท่านเหล่านี้เคยล้มเหลวมาแล้ว และเอาอย่างประยุกต์ชัยชนะในการงานและชีวิตของท่านเหล่านี้มาใช้ในการทำงานของเราด้วย นำประสบการณ์และบทเรียนที่ได้รับการบอกเล่าจากผู้ประสบความสำเร็จเหล่านี้มาสะท้อนคิดบนสถานการณ์ความเป็นจริงในงานที่เรารับผิดชอบ

นอกจากนั้น การฟังความคิดเห็น การสะท้อนความคิดเห็น และการวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อฝูงและเพื่อนร่วมงานอาจจะทำให้เรารู้สึกขมขื่นเจ็บปวดบ้างในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าเราฟังด้วยเอาใจใส่และจิตใจมั่นคงเป็นกลางและเปิดความคิดของเราออกรับฟัง จะช่วยปกป้องเราจากการตกเป็นเหยื่อของความล้มเหลวในจุดบอดที่เราเองไม่สามารถเห็นได้

5. ประยุกต์ใช้
ความรู้จะอยู่ติดกับเราเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และจะไม่มีคุณค่าอะไรแก่เราเลย นอกจากว่าเราจะนำความรู้นั้นมาใช้ทำจริงทันที หรือ เอาความรู้นั้นมาใคร่ครวญแสวงหาแนวทางในการปฏิบัติจริง จากนั้น จงนำประสบการณ์ที่ท่านได้จากการนำความรู้ไปปฏิบัติจริงแล้วถอดออกมาเป็นบทเรียนชีวิตของท่านเอง เมื่อนั้นสติปัญญาความเข้าใจของท่านจะเติบโตมั่นคง ชัดเจนขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ชีวิตในครั้งต่อๆ ไป

เรียบเรียงและเพิ่มเติมจากข้อเขียนของ John C. Maxwell
บทความเรื่อง Five Ingredients of Personal Growth

พระธรรมภาวนา

มัทธิว 20:25-28
25พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาพร้อมหน้ากันและตรัสว่า
“ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ปกครองของคนต่างชาติเป็นเจ้าเหนือเขา และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา 26แต่สำหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครอยากเป็นใหญ่ในพวกท่านต้องรับใช้ท่าน 27และผู้ใดใคร่จะเป็นเอกต้องยอมเป็นทาสของท่าน 28เหมือนกับที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก
(สำนวนแปลอมตธรรม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น