23 มกราคม 2554

หว่านพืชหวังผล

ถ้าท่านเคยทำสวนทำไร่ ท่านย่อมรู้ดีว่า พืชผัก ต้นไม้ ดอกไม้แต่ละพันธุ์แต่ละชนิดย่อมมีลักษณะพิเศษในชีวิตของมัน พืชผักแต่ละชนิดมีการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน และเวลาหรือฤดูการปลูกพืชพันธุ์บางชนิดอาจจะแตกต่างกันออกไป แต่เราก็คาดหวังว่า เราจะได้ผลที่ดีที่สุดจากพืชที่เราปลูก

จากการที่เรามีประสบการณ์ในการปลูกพืช ในการทำสวน ทำไร่เป็นเวลายาวนาน เราก็จะบอกได้ว่าดินในสภาพเช่นนี้ มีสีเช่นนี้ มีความชื้นขนาดนี้เป็นดินดีอุดมสมบูรณ์หรือไม่แค่ไหน ในการเพาะปลูกท่านจะคอยระมัดระวังพวกวัชพืชที่จะมารุกรานต้นไม้ที่เราปลูก เราต่างรู้ดีว่าการที่เราจะได้รับผลดีจากการเพาะปลูกนั้นส่วนหนึ่งเพราะเรามีเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ และในเวลาเดียวกันก็ขึ้นอยู่กับพื้นดินที่รองรับเมล็ดที่เราหว่านลงไป ว่ามันบ่มเพาะได้ดีแค่ไหน และ ความอุดมสมบูรณ์ในพื้นดินที่จะหล่อเลี้ยงต้นไม้ที่งอกในระดับใด รวมถึงการเอาใส่ของเจ้าของสวนหรือพื้นที่เพาะปลูกด้วย

พระเยซูทราบดีว่า ผู้ฟังที่มีประสบการณ์ในการทำเกษตรย่อมรู้และเข้าใจถึงแผ่นดินที่ใช้ในการเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี เช่นกันเราก็สามารถที่จะเรียนรู้ว่าความเชื่อศรัทธานั้นสามารถงอก และเจริญเติบโตได้อย่างไร และยังรู้ด้วยว่าทำไมความเชื่อศรัทธาที่งอกมาใหม่นั้นถึงเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด เรารู้ว่าที่เป็นเช่นนั้นย่อมมีมากกว่าหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ความเชื่อศรัทธานั้นเหี่ยวเฉาตายไป ซึ่งมีสาเหตุหลักๆเช่น การตอบสนองของคนๆ นั้น(พื้นดิน) ที่ได้รับพระวจนะของพระเจ้า(เมล็ดพืช) ย่อมมีมากกว่าหนึ่งสาเหตุที่อาจจะทำให้เมล็ดแห่งความเชื่อศรัทธางอกมาแล้วแต่กลับเหี่ยวเฉาตาย

พระเยซูคริสต์ได้เล่าเรื่องอุปมาดังนี้

มีชาวนาคนหนึ่งได้ออกไปหว่านเมล็ดพืช เขาได้หว่านเมล็ดให้กระจายลงบนที่ทำเกษตรของเขา เมล็ดส่วนหนึ่งหว่านลงไปตกลงบนทางเดิน นกบินมาจิกกินหมด เมล็ดบางเมล็ดหว่านตกลงไปบนดินที่ปกคลุมบนหิน เมล็ดได้งอกและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมีเนื้อดินบางและส่วนใหญ่เป็นหิน เมื่อต้นอ่อนที่งอกมาต้องรับกับแสงแดดที่แรงกล้ามันจึงเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด และเพราะต้นอ่อนไม่สามารถหยั่งรากเพราะข้างล่างเป็นหิน มันจึงตาย เมล็ดอีกส่วนหนึ่งหว่านไปตกลงในที่ที่มีพงหนามปกคลุมหนาแน่น แม้ว่าเมล็ดจะงอกและต้นอ่อนเติบโตขึ้นแต่ปรากฏว่าต้นพืชเหล่านั้นไม่เกิดผล และยังมีเมล็ดอีกส่วนหนึ่งหว่านไปตกบนดินที่อุดม มันจึงงอก เติบโต และเกิดผลเป็นสามสิบเท่า, หกสิบเท่า และบ้างก็ ร้อยเท่า (มาระโก 4:3-9)

พระเยซูคริสต์ได้อธิบายอุปมาเรื่องนี้แก่สาวกดังนี้

การหว่านเมล็ดพืชก็คือการที่คนหนึ่งนำพระวจนะของพระเจ้าไปให้แก่คนอื่นๆ เมล็ดที่ตกลงบนทางเดินนั้นเปรียบได้กับคนที่ยินพระวจนะของพระเจ้า ไม่ทันไรซาตานก็มาจิกฉวยพระวจนะไปจากเขา ส่วนเมล็ดที่ตกลงบนดินที่ปกคลุมหิน เปรียบได้กับคนที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและรับพระวจนะนั้นด้วยความชื่นชมยินดีทันที แต่เพราะต้นอ่อนที่งอกมานั้นไม่สามารถหยั่งราก จึงมีอายุสั้น เมื่อเจ้าตัวที่เชื่อในพระวจนะต้องประสบกับปัญหาในชีวิต หรือ ถูกข่มเหงเพราะเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ความเชื่อศรัทธาจึงเหี่ยวเฉาตายไป ส่วนเมล็ดที่ตกลงบนดินที่ถูกปกคลุมด้วยพงหนาม เปรียบได้กับคนที่รับพระวจนะของพระเจ้า แต่เพราะชีวิตของคนๆ นั้นถูกครอบงำด้วยความวิตกกังวล จิตใจอยากได้ใคร่มีด้วยความโลภในความมั่งคั่ง ทรัพย์สิ่งของ ความเชื่อศรัทธาจึงไม่สามารถงอกงามได้เต็มที่ อาจจะยังมีความเชื่อศรัทธาแต่เป็นความเชื่อศรัทธาที่ไม่เกิดผล นอกนั้น เมล็ดตกลงในพื้นดินอุดม เปรียบได้กับคนที่ได้ยินได้ฟังพระวจนะ เมล็ดงอก เจริญเติบโต แข็งแรง และในที่สุดเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ต้นพืชเหล่านี้ให้ผลสามสิบ หกสิบ และบ้างร้อยเท่า (มาระโก 4:14-20)

เราท่านเห็นแล้วว่า การตอบสนองของเราต่อพระวจนะของพระเจ้า ย่อมเกิดผลตามการตอบสนองของเราแต่ละคน จากการอธิบายของพระเยซูคริสต์ช่วยให้เราเข้าใจว่า เมื่อคนเราได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้วมีการตอบสนองต่อพระวจนะที่ได้ยินได้ฟังนั้นอย่างไรบ้าง และการตอบสนองในแต่ละลักษณะย่อมมีผลเกิดขึ้นต่อชีวิตที่แตกต่างกัน และมีทิศทางการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างได้ยินพระวจนะที่เหมือนกัน พระวจนะเดียวกัน แต่เพราะพื้นดินแห่งชีวิตของเขาแต่ละคนที่เปิดรับสัจจะแห่งพระวจนะของพระเจ้ามีความแตกต่างกัน ย่อมมีผลต่อชีวิตของคนๆ นั้นและสังคมที่เขาดำรงชีพอยู่ที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน

เรื่องอุปมาดังกล่าวช่วยเราให้ถอยหลัง เพื่อมองย้อนการเจริญเติบโตด้านชีวิตจิตวิญญาณของเราด้วยมุมมองของพระเจ้า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเราที่อาจจะมีความอุดมหรือความจำกัด พระเจ้าทรงเป็นนักรักษาพัฒนาสภาพแวดล้อมแห่งชีวิต พระองค์ทรงบริหารจัดการปรับปรุงให้พื้นดินแห่งชีวิตของเราเป็นดินที่อุดมเปี่ยมด้วยคุณภาพ และทำให้เกิดผลผลิตในการเพาะปลูกอย่างดี การที่เราปรารถนาจะให้พื้นดินชีวิตเป็นดินที่อุดมเปี่ยมด้วยคุณภาพนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครคือผู้ดูแลเอาใจใส่ “พื้นดินชีวิต” พื้นนั้นๆ คำถามก็คือว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่พื้นดินแห่งชีวิตของท่านหรือไม่?” ท่านยอมรับเมล็ดแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ เพราะท่านมองว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าของผืนดิน และเป็นผู้ดูแลสวนแห่งชีวิตของท่าน หรือท่านมองว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่หว่านเมล็ดพระวจนะของพระองค์ที่ท่านไม่ต้องการลงในพื้นดินชีวิตของท่าน หรือท่านไม่เต็มใจที่จะรับเมล็ดแห่งพระวจนะที่พระองค์ทรงหว่าน?

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตจิตวิญญาณของเราเกิดผลนั้น คือการที่เราเรียนรู้ถึงการดำเนินชีวิตที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และให้พระวจนะนั้นเสริมสร้างระบบ และ กรอบความนึกคิดของเราขึ้นใหม่ผ่านประสบการณ์การดำเนินชีวิตตามพระวจนะ เราเรียนรู้ที่จะทูลขอพระเจ้าโปรดเตรียมพื้นดินชีวิตของเราและทำให้พื้นดินชีวิตของเราพร้อมที่จะรองรับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และให้พระกิตติคุณนั้นงอก เจริญเติบโต และเกิดผลในพื้นดินชีวิตเรา และให้เมล็ดแห่งพระวจนะของพระเจ้าตกลงในพื้นที่ชีวิตคนอื่นๆผ่านชีวิตของเรา

แนวทางที่นำมาซึ่งการเจริญเติบโตในชีวิตแห่งความเชื่อศรัทธานั้นผ่านการเสริมสร้างวินัยชีวิตจิตวิญญาณในการเรียนรู้พระวจนะและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติตามพระวจนะ จะช่วยขยายกรอบแห่งความเข้าใจวันแล้ววันเล่าที่เรามีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์ ซึ่งเป็นวิถีทางหนึ่งที่พระเจ้าจะใช้ในการบ่มเพาะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา กล่าวได้ว่า การฝึกวินัยชีวิตจิตวิญญาณในการเรียนรู้ถึงพระวจนะของพระเจ้าและการดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ในพระวจนะนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา เพื่อพระองค์จะทรงตระเตรียมชีวิตจิตวิญญาณของเรา และเพื่อชีวิตของเราจะพร้อมให้พระองค์ใช้ทำงานของพระองค์ ผ่านชีวิตของเราไปยังคนอื่นๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น