จุดเริ่มต้นที่มนุษย์ตกใต้การครอบงำของอำนาจแห่งความบาปชั่ว เริ่มต้นจากความคิดและความรู้สึกจากใจของเขาคนนั้นที่ต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า ต้องการให้ตนเองมีอำนาจเหมือนพระเจ้า จนทำให้ยอมตัดสินใจที่กล้าขัดขืนหรือไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า
พลังอำนาจแห่งความบาปชั่วเข้ามาครอบงำในชีวิตของมนุษย์ด้วยการกำกับควบคุมกระบวนการคิดของมนุษย์
และพลังจากความคิดนั้นเองที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ การตัดสินใจนำสู่การกระทำแม้จะขัดต่อพระบัญชาของพระเจ้าก็ตาม
เพราะในเวลาที่ความคิดของมนุษย์ถูกครอบงำจากอำนาจของบาปผิด มนุษย์คิดว่าตนเป็นใหญ่ในชีวิตของตนแทนพระเจ้าที่ทรงเป็นเอกเป็นตันในชีวิตของเขา
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงให้น้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์ พระเจ้าทรงเห็นว่า “...ความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน
และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา”
(ปฐมกาล 6:5 มตฐ.)
เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อสานต่อพระราชกิจของพระบิดา อันเป็นพระราชกิจแห่งการกอบกู้ พลิกฟื้นและการทรงสร้างใหม่นั้น
จุดเริ่มต้นประการแรกในพระราชกิจของพระเยซูคริสต์คือ พระองค์ทรงประกาศเรียกร้องให้มนุษย์
“จงกลับใจเสียใหม่”
เพราะแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว
รากศัพท์ของคำว่า “กลับใจใหม่” ในภาษากรีก มีความหมายว่าให้เปลี่ยนวิธีคิด
- ให้เปลี่ยนวิธีคิด และ ความคิดของเรา
- ให้คิดแตกต่างจากวิธีที่เคยคิด หรือ ที่คุ้นชินกับความคิดนั้น
- ปรับเปลี่ยนกรอบคิด มุมมองเสียใหม่
เมื่อความคิดและวิธีคิดของใครเปลี่ยนไป แน่นอนว่า ท่าที การแสดงออก การกระทำก็จะเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้น การที่ชีวิตของเราจะเกิดผลเช่นไรก็จะต้องเริ่มต้นเปลี่ยนที่ความคิดและวิธีคิด เพราะวิธีคิดและความคิดมีอิทธิพลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของเรา
ดังนั้น
การที่จะให้ชีวิตของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นชีวิตที่เกิดผลตามพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งแรกที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคือ ต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในหัว และ
ในจิตใจของเราก่อน
และนี่คือสิ่งแรกที่จะต้องเกิดขึ้น
เปาโลชี้ชัดว่า
การที่มนุษย์เรามีชีวิตที่แปลกแยกตัดขาดจากพระเจ้า สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือเกิด “สงคราม” หรือ
“การต่อสู้กัน” ในความคิดจิตใจของเรา “...เมื่อก่อนนี้พวกท่านถูกตัดขาดจากพระเจ้า
และเป็นศัตรูในใจโดยการทำชั่วต่าง ๆ ” (โคโลสี 1:21 มตฐ.) และการที่มนุษย์ดำเนินชีวิตหรือประพฤติที่ผิดและไม่เหมาะสมก็เพราะมนุษย์มี
“จิตใจที่เสื่อมทราม” (โรม 1:28 มตฐ.) และครั้งเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงดุว่าเปโตร ถึงขนาดเรียกว่าซาตาน เพราะเปโตร
“ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า” แต่เขา
“คิดอย่างมนุษย์” (มัทธิว 16:23 มตฐ.)
เมื่อมนุษย์คิดแตกต่างจากพระเจ้าก็เพราะความคิดของมนุษย์ถูกครอบงำจากอำนาจแห่งความบาปชั่ว
พระคัมภีร์กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงพลิกฟื้นความคิดเป็นเหมือนการเปลี่ยนแปลงและพลิกฟื้นชีวิตของเรา กล่าวคือเราจะต้องมี
“ความคิดและวิธีคิดแบบพระคริสต์” หรือ
“มีจิตใจ (คิดและรู้สึก) ที่เป็นเหมือนพระคริสต์” หรือ “มีพระทัยพระคริสต์” (1โครินธ์
2:16 มตฐ.)
เปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง “จิตใจ”
ของเรานั้นทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
อะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้า(ดู โรม 12:2 อมต.) การที่เราได้ “...รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ” ส่งผลให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอุปนิสัย
(โรม 12:2 มตฐ.)
ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่มสิ่งที่เราพบและเรียนรู้คือ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับวิธีคิดและความคิดของมนุษย์สร้างผลกระทบต่อทั้งชีวิตของมนุษย์ สังคมมนุษย์
และสภาพแวดล้อมทั้งสิ้นของมนุษย์ด้วย
เราคิดอย่างไรเราก็จะมีชีวิตเช่นนั้น
การคิดคือตัวกำหนดเป้าหมายปลายทางชีวิตของเรา ถ้าเราคิดอย่างพระคริสต์เราก็จะมีชีวิตอย่างพระคริสต์ และผลที่ตามมาคือเราจะมีเป้าหมายชีวิตที่ร่วมสานต่อพระราชกิจแห่งการพลิกฟื้นและการทรงสร้างใหม่ของพระคริสต์
ดังนั้น ภารกิจหลักของการสร้างสาวกของพระคริสต์คือ
การที่ช่วยให้สาวกเหล่านั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจจากพระคริสต์ ซึ่งมีสองประการที่สำคัญในกระบวนการนี้คือ
ประการแรก ให้ชีวิตของคน ๆ นั้นเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
คือเป็นชีวิตที่ได้รับการเติมเต็มให้เป็นชีวิตที่มีเป้าหมายตามน้ำพระทัยของพระคริสต์ และได้รับพระกำลังหนุนเสริมให้สามารถกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ประการที่สอง ชีวิตของคน ๆ นั้นต้องจับจ้องมุ่งมองที่พระเยซูคริสต์ รัก ใคร่ครวญ ไตร่ตรองถึงพระคริสต์ “...(ให้เรา)มองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป
เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ”
(2โครินธ์ 3:18 มตฐ.) ยิ่งเรามุ่งมองจับจ้องคิดไตร่ตรองถึงองค์พระคริสต์มากเท่าใด เราก็จะมีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นเท่านั้น เราจะคิดอย่างที่พระองค์คิด
เพราะวิธีคิดและความคิดของพระองค์จะซึมซับเข้าไปในความคิดของเรา แล้วการมีชีวิตของพระคริสต์ก็จะแผ่ซ่านเข้าไปทั่ววิถีการดำเนินชีวิตของเรา
ความคิดของเรา วิธีคิดของเราจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเราดำเนินชีวิตเคียงข้างไปกับพระองค์ เมื่อถึงเวลานั้น
เราไม่จำเป็นที่จะต้องลงแรงทุ่มเทสุดกำลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของเรา
เพราะเมื่อความคิดและวิธีคิดของเราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระคริสต์ สิ่งอื่น ๆ ในชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงตามมาด้วย
ปีใหม่นี้เราต้องเริ่มต้นที่จะยอมรับการเปลี่ยนความคิดและวิธีคิดไปเป็นอย่างพระคริสต์!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น