ตัวเราคนเดียวไม่สามารถเป็นพระกายของพระคริสต์ได้
แต่พระกายของพระคริสต์เป็นการร่วมกันของเรากับคนอื่น ๆ ในชุมชนของผู้เชื่อ แล้วร่วมกันสำแดงชีวิตตามพระประสงค์ เราเป็นพระกายของพระคริสต์เพราะเราร่วมกัน ไม่ใช่แยกกันต่างคนต่างอยู่
คริสตจักรเป็นครอบครัวใหญ่ที่หล่อหลอม เสริมสร้าง
และช่วยดึงให้เราหลุดรอดออกจากการที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลางในชีวิต หลุดรอดออกจากชีวิตที่เป็นปัจเจก
“ตัวใครตัวมัน” แยกตนเองออกจากคนอื่น
คริสตจักรท้องถิ่นจึงเป็นเหมือนชั้นเรียนแห่งชีวิตที่จะช่วยกันหล่อหลอม
เสริมสร้างกันและกันที่ให้เกิดการเรียนรู้ว่า
เราจะดำเนินชีวิตร่วมกับคนอื่น ๆ ในคริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้าอย่างไร
เป็นพื้นที่หรือเวทีที่แต่ละคนที่ฝึกฝนตนเรียนรู้ที่จะ
“ไม่เห็นแก่ตัว” แต่มีใจรักเมตตา เห็นอกเห็นใจกัน และเสียสละเพื่อคนอื่น ๆ อย่างพระคริสต์
ในฐานะที่เราเป็นคนหนึ่งที่ร่วมในชีวิตครอบครัวคริสตจักร เราจะต้องเอาใจใส่ชีวิตของคนอื่น และ
ร่วมในประสบการณ์ชีวิตของคนต่าง ๆ ในครอบครัวคริสตจักรด้วย นั่นหมายความว่า “ถ้าอวัยวะหนึ่งทุกข์
อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ
อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย” (1โครินธ์ 12:26 มตฐ.)
ในเมื่อชุมชนคริสตจักรคือชุมชนของผู้คนในคริสตจักรที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันที่แตกต่างจากความสัมพันธ์กันแบบสังคมทั่วไป ดังนั้น
คริสตจักรไทยปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแบบนี้ในคริสตจักร
หรือที่เรามักเรียกว่า “สามัคคีธรรม” จากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
เพราะสามัคคีธรรมมิใช่การที่เรามาร่วมกันร้องเพลง อธิษฐาน นมัสการพระเจ้า ถวายทรัพย์
แล้วอยู่ด้วยกัน กินด้วยกันใน “คริสตจักร” เท่านั้น
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ สามัคคีธรรมคือการที่แต่ละคนเชื่อมสัมพันธ์เข้าด้วยกันโดยการทำหน้าที่รับผิดชอบตามที่พระเจ้าประทานให้
มีเป้าหมายเพื่อให้คริสตจักรที่เป็นพระกายของพระคริสต์
“เจริญและเสริมสร้างกันด้วยความรัก” (เอเฟซัส 4:16) ด้วยการทำหน้าที่ที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน (โรม
12:4-5) อันเกิดจากการที่เราแต่ละคน “ยึดมั่นในพระคริสต์”
เพื่อให้การร่วมงานกันของเราทุกคนมุ่งไปสู่พระประสงค์เดียวกันของพระเจ้า (โคโลสี
2:19)
ด้วยความห่วงใยกันและกัน (1โครินธ์ 12:25) และนี่คือความหมายของ
“สามัคคีธรรม” ในคริสตจักรตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
สามัคคีธรรมตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ คือการที่แต่ละคนในคริสตจักรยอมอุทิศมอบกายถวายทั้งชีวิตแด่พระคริสต์ และในเวลาเดียวกันพระเจ้าทรงคาดหวังเราแต่ละคนให้ชีวิตของตนแก่กันและกันในชุมชนคริสตจักรด้วย เราท่านทุกคนรู้จักพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16 อย่างดี
แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องไม่ลืมและละเลยที่จะตระหนักชัดใน 1ยอห์น 3:16 ด้วย
“เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก
โดยที่พระองค์ได้ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา
และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” (1ยอห์น
3:16 มตฐ.)
แล้วคริสตจักรไทยจะมี “สามัคคีธรรม”
แบบนี้ได้อย่างไรหนอ?
พระเจ้าทรงคาดหวังให้คริสตชนไทยแต่ละคนสำแดงความรักที่เสียสละแบบนี้แก่คนอื่น
ๆ รอบข้างในชุมชนคริสตจักรด้วย คือเป็นคริสตชนที่เต็มใจที่จะรักคนอื่นอย่างพระคริสต์ที่ทรงรักและเสียสละเพื่อตัวเราเองด้วย
ณ วันนี้ในคริสตจักรไทยคงต้องกลับมามองตนเองว่า คริสตจักรได้กระทำตามพระบัญชาของพระคริสต์ ที่จะให้เรารักอย่างที่พระองค์ทรงรักหรือไม่ คริสตจักรมี
“สามัคคีธรรม” ที่แท้จริงหรือไม่ หรือคริสตจักรมัวแต่ทำตามพระบัญชาให้คนในสังคมให้ได้เข้าใต้ร่มแห่งความรอด
แต่เป็นความรอดที่
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของคนที่เข้ามาในคริสตจักรเลยหรือไม่?
แล้วนี่จะเป็นความรอดในพระคริสต์ได้อย่างไร?
ถึงเวลาแล้วที่คริสตจักรจะต้องกลับมาพิจารณาตนเอง คริสตจักรได้ทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์จริง ๆ
ครบถ้วนหรือไม่?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น