จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี
จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้
(โรม 12:15 มตฐ.)
พระธรรมโรมบทที่ 12
เริ่มต้นด้วยการขอให้เราคริสตชนถวายทั้งชีวิตของเราแด่พระคริสต์
เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อเราแต่ละคนที่เป็นคน ๆ หนึ่งในคริสตจักรจะได้เกื้อหนุน
เอื้อเฟื้อ และเสริมสร้างกันและกันในเวลาที่จำเป็นต้องการแก่คนอื่น ๆ ในชุมชนคริสตจักร
ดั่งอวัยวะหนึ่งในพระกายของพระคริสต์ที่ประสานเสริมสร้างกันและกันให้พระกายนั้นเติบโตแข็งแรงขึ้น
คริสตจักรมิใช่เป็นที่ที่ผู้มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์มารวมตัวกันประกอบศาสนพิธี
และ เป็นที่จะมาร้องซ้องสรรเสริญพระนามของพระเจ้าด้วยกันในวันอาทิตย์เท่านั้น
แต่คริสตจักรคือสายสัมพันธภาพที่ผูกพันผู้คนเข้าด้วยกันโดยพระคุณแห่งความรักเมตตาที่เสียสละของพระคริสต์
พระประสงค์ประการหนึ่งที่พระคริสต์ทรงสถาปนาคริสตจักรของพระองค์ไว้ท่ามกลางโลกที่แปรปรวน
สับสน และมีแต่ความทุกข์ยากลำบากนี้ เพื่อคริสตจักรจะได้ทำหน้าที่ที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้คนในชุมชนของตนทั้งในเวลาที่สุขและเวลาที่แสนทุกข์ลำบาก
ใช่ครับ...
คริสตจักรคือชุมชนที่ร้องไห้กับคนที่ร้องไห้
และหัวเราะกับคนที่มีชีวิตชื่นชมยินดี!
แน่นอนครับ
ในชีวิตของเราแต่ละคนคงมีบางเวลาที่เราหัวเราะจนน้ำตาไหล แต่มีบางเวลาที่เราต้องเผชิญกับวิกฤติผิดหวังอย่างรุนแรงในชีวิตจนน้ำตาแห้งเหือดไม่มีจะไหลออกมาอีกแล้ว
คงไม่แปลกใจถ้าเมื่อเราชื่นชมยินดีมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังชื่นชมยินดีกับเราด้วย
แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังและสูญเสียล่ะ ในเวลาเช่นนั้นมีใครบ้างที่อยู่เคียงข้างเรา?
เมื่อคู่ชีวิตของเราอยู่ในห้องผ่าตัดเอามะเร็งออก ใครนั่งรอความสำเร็จของการผ่าตัดเคียงข้างเรา?
เมื่อเราต้องนั่งรอและรอฟังข่าวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเราว่ารอดพ้นจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่เนปาลหรือเปล่า ใครอยู่ข้าง ๆ เราในเวลานั้น?
เมื่อวันที่เรารับซองขาวและพร้อมกับคำเห็นอกเห็นใจของผู้บริหาร เราเดินกลับบ้านพร้อมกับใคร?
เมื่อวันที่คู่ชีวิตของเรา เดินออกไปจากเส้นทางชีวิตคู่ของเรา ใครอยู่เคียงข้างเรา?
ในสถานการณ์ลักษณะเช่นนี้
มีคนในชุมชนคริสตจักรได้เดินเคียงข้างคนเหล่านี้หรือไม่? อย่างไร?
ความจริงที่เราท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
มีบางเวลาที่ชีวิตต้องพบกับความทุกข์ยากสาหัส ที่ชีวิตต้องประสบกับความโศกเศร้า
ที่ชีวิตต้องตกอยู่ในข่าวร้ายรุนแรงแบบไม่รู้จะตั้งรับอย่างไรดี ในเวลาเช่นนั้นชุมชนคริสตจักรอยู่ที่ไหน?
ผมได้ยินได้ฟังจากท่านศิษยาภิบาลสองท่าน
ที่แบ่งปันประสบการณ์การอภิบาลชีวิตผู้คนในคริสตจักร
ซึ่งเป็นประสบการณ์ในเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันมาก แต่เพราะมีมุมมองที่แตกต่างกัน
ศิษยาภิบาลและชุมชนคริสตจักรจึงตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันด้วยวิธีการที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินครับ
ศิษยาภิบาลท่านแรก เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่คนรู้จักกันดีมาก เล่าให้ฟังว่า
สมาชิกของท่านคนหนึ่งมานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรในวันอาทิตย์เป็นประจำ แต่เมื่อเขานมัสการเสร็จก็ออกไปจากคริสตจักรทันที ไม่เข้าร่วมกลุ่มหรือร่วมสมานฉันท์สัมพันธ์กับคนอื่นในคริสตจักร กระทั่งวันหนึ่ง
ภรรยาของเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งที่ปอด
พอดีวันนั้นศิษยาภิบาลท่านต้องรีบเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อเข้าร่วมสัมมนาการประกาศพระกิตติคุณ เมื่อกลับมาท่านก็ยังไม่รู้ถึงวิกฤติชีวิตของสมาชิกครอบครัวนี้ และคนในคริสตจักรก็ไม่รู้
จนวันหนึ่งสมาชิกคนนี้เข้ามาหาศิษยาภิบาลและบอกว่า
เขาขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของคริสตจักรนี้ เพราะเมื่อภรรยาของเขาป่วยหนัก
และรับการผ่าตัด
ครอบครัวของเขาตกลงในภาวะวิกฤติไม่มีคนในคริสตจักรเลยแม้คนเดียวที่ใส่ใจเขา
ศิษยาภิบาลได้แบ่งปันให้ฟังต่อไปว่า ช่วยไม่ได้จริง
ๆ ไม่มีใครรู้เรื่องของเขา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาทำตัวเอง เขาไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใครเลยในคริสตจักร
เมื่อเราทำตัวเช่นนี้ก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น ในมุมมองของศิษยาภิบาลท่านนี้เห็นว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวไม่สุงสิงกับสมาชิกคนอื่นในคริสตจักร ไม่เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่คริสตจักรจัดขึ้น
การที่สมาชิกครอบครัวนี้เดินออกไปจากคริสตจักรดูจะไม่เป็นการสูญเสียอะไรมากนักสำหรับคริสตจักร เพราะสมาชิกและศิษยาภิบาลมองว่า ครอบครัวนี้ก็ไม่อะไรเท่าใดกับคริสตจักร?
ศิษยาภิบาลท่านที่สองที่ผมเคยได้ฟังการแบ่งปันงานอภิบาลของเขาเล่าให้ฟัง ซึ่งเรื่องอยู่ในทำนองคล้ายกันมาก เป็นเรื่องที่ลูกชายประสบอุบัติเหตุ
ซึ่งชายคนนี้ก็คล้ายกันคือมานมัสการพระเจ้าเป็นครั้งคราวและไม่ได้ร่วมในกิจกรรมพันธกิจอะไรของคริสตจักร และในช่วงเวลานั้นศิษยาภิบาลต้องเดินทางไปเรียนหลักสูตรต่อเนื่องที่พระคริสต์ธรรม
เมื่อเขากลับมาถึงคริสตจักรถึงได้รู้จากสมาชิกคริสตจักรถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ในขณะที่ศิษยาภิบาลกำลังเตรียมตัวจะออกไปเยี่ยมสมาชิกครอบครัวนี้ ชายคนนี้เดินเข้ามาพบกับศิษยาภิบาลพอดี พร้อมทั้งขอบอกขอบใจคริสตจักรที่ได้ไปอธิษฐานเผื่อลูกชายของเขาเมื่อกำลังรับการผ่าตัดสมอง
เขาขอบคุณทีมเยี่ยมเยียนที่ผลัดเปลี่ยนกันไปนั่งเป็นเพื่อนเขา และ
อธิษฐานกับเขาที่โรงพยาบาล
และตอนนี้พระเจ้าก็ทรงรักษาให้ลูกชายพ้นวิกฤติแล้ว และเขาได้ขอโทษที่เวลาผ่านมาเขาไม่ได้ใส่ใจเข้าร่วมกับคริสตจักรอย่างจริงจัง เขาขอศิษยาภิบาลอธิษฐานเผื่อเขา เขาต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระเจ้า
แท้จริงแล้ว
ชุมชนคริสตจักรคือ “ตาข่ายนิรภัย”
สำหรับวิกฤติชีวิตของผู้คนในคริสตจักร
ที่ช่วยให้เขาได้รับประสบการณ์และสัมผัสกับความรักเมตตาของพระเจ้า
และเป็นตาข่ายที่ช่วยให้เขาได้มีโอกาสใหม่ที่จะเริ่มต้นชีวิตกับพระองค์
ชุมชนคริสตจักรของท่านทุกวันนี้เป็นชุมชนแบบไหนครับ? แบบคริสตจักรแรก หรือ คริสตจักรที่สอง? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้ครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น