26 ตุลาคม 2558

ชุมชนคริสตจักรอยู่ที่ไหน?...เมื่อชีวิตต้องตกระกำลำบาก

จง​ชื่น​ชม​ยินดี​กับ​ผู้​ที่​มี​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี จง​ร้อง​ไห้​กับ​ผู้​ที่​ร้อง​ไห้ 
(โรม 12:15 มตฐ.)

พระธรรมโรมบทที่ 12 เริ่มต้นด้วยการขอให้เราคริสตชนถวายทั้งชีวิตของเราแด่พระคริสต์  เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์  ทั้งนี้เพื่อเราแต่ละคนที่เป็นคน ๆ หนึ่งในคริสตจักรจะได้เกื้อหนุน เอื้อเฟื้อ และเสริมสร้างกันและกันในเวลาที่จำเป็นต้องการแก่คนอื่น ๆ ในชุมชนคริสตจักร   ดั่งอวัยวะหนึ่งในพระกายของพระคริสต์ที่ประสานเสริมสร้างกันและกันให้พระกายนั้นเติบโตแข็งแรงขึ้น

คริสตจักรมิใช่เป็นที่ที่ผู้มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์มารวมตัวกันประกอบศาสนพิธี และ เป็นที่จะมาร้องซ้องสรรเสริญพระนามของพระเจ้าด้วยกันในวันอาทิตย์เท่านั้น   แต่คริสตจักรคือสายสัมพันธภาพที่ผูกพันผู้คนเข้าด้วยกันโดยพระคุณแห่งความรักเมตตาที่เสียสละของพระคริสต์

พระประสงค์ประการหนึ่งที่พระคริสต์ทรงสถาปนาคริสตจักรของพระองค์ไว้ท่ามกลางโลกที่แปรปรวน สับสน  และมีแต่ความทุกข์ยากลำบากนี้   เพื่อคริสตจักรจะได้ทำหน้าที่ที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้คนในชุมชนของตนทั้งในเวลาที่สุขและเวลาที่แสนทุกข์ลำบาก

ใช่ครับ... คริสตจักรคือชุมชนที่ร้องไห้กับคนที่ร้องไห้  และหัวเราะกับคนที่มีชีวิตชื่นชมยินดี!

แน่นอนครับ  ในชีวิตของเราแต่ละคนคงมีบางเวลาที่เราหัวเราะจนน้ำตาไหล   แต่มีบางเวลาที่เราต้องเผชิญกับวิกฤติผิดหวังอย่างรุนแรงในชีวิตจนน้ำตาแห้งเหือดไม่มีจะไหลออกมาอีกแล้ว   คงไม่แปลกใจถ้าเมื่อเราชื่นชมยินดีมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังชื่นชมยินดีกับเราด้วย

แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังและสูญเสียล่ะ   ในเวลาเช่นนั้นมีใครบ้างที่อยู่เคียงข้างเรา?

เมื่อคู่ชีวิตของเราอยู่ในห้องผ่าตัดเอามะเร็งออก   ใครนั่งรอความสำเร็จของการผ่าตัดเคียงข้างเรา?

เมื่อเราต้องนั่งรอและรอฟังข่าวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเราว่ารอดพ้นจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่เนปาลหรือเปล่า   ใครอยู่ข้าง ๆ เราในเวลานั้น?

เมื่อวันที่เรารับซองขาวและพร้อมกับคำเห็นอกเห็นใจของผู้บริหาร   เราเดินกลับบ้านพร้อมกับใคร?
เมื่อวันที่คู่ชีวิตของเรา  เดินออกไปจากเส้นทางชีวิตคู่ของเรา   ใครอยู่เคียงข้างเรา?

ในสถานการณ์ลักษณะเช่นนี้   มีคนในชุมชนคริสตจักรได้เดินเคียงข้างคนเหล่านี้หรือไม่?  อย่างไร?

ความจริงที่เราท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ   มีบางเวลาที่ชีวิตต้องพบกับความทุกข์ยากสาหัส   ที่ชีวิตต้องประสบกับความโศกเศร้า   ที่ชีวิตต้องตกอยู่ในข่าวร้ายรุนแรงแบบไม่รู้จะตั้งรับอย่างไรดี   ในเวลาเช่นนั้นชุมชนคริสตจักรอยู่ที่ไหน?

ผมได้ยินได้ฟังจากท่านศิษยาภิบาลสองท่าน   ที่แบ่งปันประสบการณ์การอภิบาลชีวิตผู้คนในคริสตจักร   ซึ่งเป็นประสบการณ์ในเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันมาก   แต่เพราะมีมุมมองที่แตกต่างกัน   ศิษยาภิบาลและชุมชนคริสตจักรจึงตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันด้วยวิธีการที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินครับ

ศิษยาภิบาลท่านแรก   เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่คนรู้จักกันดีมาก   เล่าให้ฟังว่า   สมาชิกของท่านคนหนึ่งมานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรในวันอาทิตย์เป็นประจำ   แต่เมื่อเขานมัสการเสร็จก็ออกไปจากคริสตจักรทันที   ไม่เข้าร่วมกลุ่มหรือร่วมสมานฉันท์สัมพันธ์กับคนอื่นในคริสตจักร   กระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาของเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งที่ปอด   พอดีวันนั้นศิษยาภิบาลท่านต้องรีบเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อเข้าร่วมสัมมนาการประกาศพระกิตติคุณ   เมื่อกลับมาท่านก็ยังไม่รู้ถึงวิกฤติชีวิตของสมาชิกครอบครัวนี้   และคนในคริสตจักรก็ไม่รู้   จนวันหนึ่งสมาชิกคนนี้เข้ามาหาศิษยาภิบาลและบอกว่า   เขาขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของคริสตจักรนี้   เพราะเมื่อภรรยาของเขาป่วยหนัก และรับการผ่าตัด  ครอบครัวของเขาตกลงในภาวะวิกฤติไม่มีคนในคริสตจักรเลยแม้คนเดียวที่ใส่ใจเขา

ศิษยาภิบาลได้แบ่งปันให้ฟังต่อไปว่า ช่วยไม่ได้จริง ๆ ไม่มีใครรู้เรื่องของเขา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาทำตัวเอง เขาไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใครเลยในคริสตจักร  เมื่อเราทำตัวเช่นนี้ก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น  ในมุมมองของศิษยาภิบาลท่านนี้เห็นว่า   ความผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวไม่สุงสิงกับสมาชิกคนอื่นในคริสตจักร   ไม่เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่คริสตจักรจัดขึ้น   การที่สมาชิกครอบครัวนี้เดินออกไปจากคริสตจักรดูจะไม่เป็นการสูญเสียอะไรมากนักสำหรับคริสตจักร   เพราะสมาชิกและศิษยาภิบาลมองว่า ครอบครัวนี้ก็ไม่อะไรเท่าใดกับคริสตจักร?

ศิษยาภิบาลท่านที่สองที่ผมเคยได้ฟังการแบ่งปันงานอภิบาลของเขาเล่าให้ฟัง   ซึ่งเรื่องอยู่ในทำนองคล้ายกันมาก   เป็นเรื่องที่ลูกชายประสบอุบัติเหตุ   ซึ่งชายคนนี้ก็คล้ายกันคือมานมัสการพระเจ้าเป็นครั้งคราวและไม่ได้ร่วมในกิจกรรมพันธกิจอะไรของคริสตจักร   และในช่วงเวลานั้นศิษยาภิบาลต้องเดินทางไปเรียนหลักสูตรต่อเนื่องที่พระคริสต์ธรรม   เมื่อเขากลับมาถึงคริสตจักรถึงได้รู้จากสมาชิกคริสตจักรถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น   ในขณะที่ศิษยาภิบาลกำลังเตรียมตัวจะออกไปเยี่ยมสมาชิกครอบครัวนี้   ชายคนนี้เดินเข้ามาพบกับศิษยาภิบาลพอดี   พร้อมทั้งขอบอกขอบใจคริสตจักรที่ได้ไปอธิษฐานเผื่อลูกชายของเขาเมื่อกำลังรับการผ่าตัดสมอง   เขาขอบคุณทีมเยี่ยมเยียนที่ผลัดเปลี่ยนกันไปนั่งเป็นเพื่อนเขา และ อธิษฐานกับเขาที่โรงพยาบาล   และตอนนี้พระเจ้าก็ทรงรักษาให้ลูกชายพ้นวิกฤติแล้ว   และเขาได้ขอโทษที่เวลาผ่านมาเขาไม่ได้ใส่ใจเข้าร่วมกับคริสตจักรอย่างจริงจัง   เขาขอศิษยาภิบาลอธิษฐานเผื่อเขา   เขาต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระเจ้า

แท้จริงแล้ว   ชุมชนคริสตจักรคือ “ตาข่ายนิรภัย” สำหรับวิกฤติชีวิตของผู้คนในคริสตจักร   ที่ช่วยให้เขาได้รับประสบการณ์และสัมผัสกับความรักเมตตาของพระเจ้า   และเป็นตาข่ายที่ช่วยให้เขาได้มีโอกาสใหม่ที่จะเริ่มต้นชีวิตกับพระองค์

ชุมชนคริสตจักรของท่านทุกวันนี้เป็นชุมชนแบบไหนครับ?   แบบคริสตจักรแรก หรือ คริสตจักรที่สอง?   ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้ครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น