แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า
‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า
ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้
ก็เหมือนทำกับเราด้วย’ (มัทธิว
25:40 มตฐ.)
คริสตจักรคือพระกายของพระคริสต์
เมื่อคริสตชนดำเนินชีวิตประจำวันในพระคริสต์ หมายความว่า สมาชิกคริสตจักรแต่ละคนทำสิ่งต่าง
ๆ แก่คนรอบข้างอย่างที่พระคริสต์ประสงค์จะกระทำแก่คนเหล่านั้น
หรือทำอย่างที่พระคริสต์ทรงกระทำเมื่อครั้งที่พระองค์ดำเนินชีวิตบนผืนแผ่นดินโลกนี้
กล่าวสรุปคือ คริสตชนคือคนที่ดำเนินชีวิตประจำวันสานต่อพระราชกิจที่พระคริสต์ได้กระทำแล้วบนโลกใบนี้
และนี่เองมิใช่หรือเราจึงเรียกชุมชนคริสตจักรว่าเป็น “พระกายของพระคริสต์” ที่มีพระองค์เป็นศีรษะ
ที่อวัยวะทุกภาคส่วนทำหน้าที่ทำงานตามศักยภาพความสามารถที่ได้รับจากพระเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระคริสต์ และเวลาเดียวกันที่เปาโลเรียกชีวิตคริสตชนว่า
“ชีวิตในพระคริสต์”
คือชีวิตที่ทำการสานต่อจากงานที่พระคริสต์ทรงเริ่มต้นไว้นั้น
ถ้าพระคริสต์อยู่กับเรา
อยู่กับคริสตจักรไทยในวันนี้
พระเยซูคริสต์จะทำอะไรบ้าง?
แน่นอนว่า
พระคริสต์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบิดาเจ้า
พระองค์จะใช้ชีวิตแต่ละวันของพระองค์เพื่อสำแดงความรักเมตตาตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์จะร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกับ
“ผู้เล็กน้อย” ในชุมชนสังคมโลกปัจจุบันนี้ เช่น
คนแปลกหน้าได้รับการต้อนรับ คริสตชนมองเห็นและกระทำต่อคนเหล่านี้อย่างมีคุณค่า
คนหิวโหยได้รับการเอาใจใส่และได้รับอาหาร
คนกระหายได้รับน้ำใจและเครื่องดับกระหาย
(ข้อ 35)
คนที่ไร้เสื้อผ้าได้รับการห่มกายให้อบอุ่น
คนเจ็บป่วยว้าเหว่ได้รับการเยี่ยมเยียนเอาใจใส่
นักโทษคนชั่วในสายตาของสังคมได้รับการเยี่ยมเยียน
ได้รับความสัมพันธ์ใหม่ และคุณค่าในชีวิต(ข้อ 36)
ขอตั้งข้อสังเกตว่า
พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้นั่งวิเคราะห์หาสาเหตุว่า ทำไมเขาต้องติดคุกต้องขัง ทำไมเขาถึงหิวโหยและกระหาย ทำไมเขาถึงเปลือยเปล่าหมดเนื้อหมดตัว ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนแปลกหน้าของสังคม ทำไมเขาถึงต้องเจ็บป่วย พระเยซูคริสต์มิได้พยายามอธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมผู้เล็กน้อยเหล่านี้ถึงตกสู่สภาพชีวิตวิกฤติเช่นนี้ แต่สิ่งที่พระคริสต์กำลังกล่าวในที่นี้กำลังบอกกับคริสตชนหรือคริสตจักรว่า
เราจะมีท่าทีและกระทำอย่างไรกับคนที่กำลังได้รับผลกระทบทางโลกในสังคมชุมชนในปัจจุบันนี้
คริสตชนหลายคนคงแปลกใจอย่างมากว่า เมื่อเขากระทำต่อผู้เล็กน้อยเหล่านี้ แม้พวกเขาไม่เห็นพระเยซูอยู่ที่นั่นก็ตาม แต่พระคริสต์ได้อธิบายแก่คริสตชนกลุ่มนี้ว่า
การที่พวกเขาทำอะไรแก่คนเล็กน้อยด้อยค่าในสายตาของสังคมโลก พวกเขาได้กระทำแก่พระเยซูคริสต์ด้วย (ข้อ 40)
ทำไมคริสตชนกลุ่มนี้ถึงไม่รู้ว่าเขาทำแก่พระเยซูคริสต์ด้วย? เพราะคริสตชนกลุ่มนี้กระทำงานเหล่านี้ในชีวิตประจำวันด้วยความจริงใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นรอบข้างด้วยความตั้งใจเต็มใจ
มิได้ทำเพราะต้องการให้พระเจ้าพอพระทัยชีวิตของตนเอง มิใช่เพราะต้องการเก็บ “คะแนน”
หรือผลงานเพื่อจะนำไปรายงานต่อหน้าพระเจ้าในวันที่ต้องอยู่ต่อพระพระพักตร์พระองค์? และที่เขาทำเช่นนี้มิใช่เพราะต้องการทำดีในสายตาของมนุษย์และพระเจ้า
แต่ที่ทำเช่นนี้เพราะเขาสำนึกในพระคุณของพระคริสต์ที่ทรงมีพระคุณต่อชีวิตของเขามาก่อน ดังนั้น
การกระทำเช่นนี้กลายเป็นวิถีชีวิตประจำวันที่ต้องการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์บนผืนแผ่นดินโลกนี้
ในด้านตรงกันข้ามของสัจธรรมข้อนี้ คือถ้าคริสตชนละเลย
หรือมองข้ามไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน
เขาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องทำแก่พระคริสต์ในชีวิตประจำวันด้วย (ข้อ 42-45) และการที่ไม่กระทำในสิ่งที่คริสตชนพึงกระทำก็ถือว่าเป็นความบาปพอ
ๆ กับการกระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำด้วย (ดูยากอบ 2:16)
เมื่อเรากระทำสิ่งต่าง ๆ แก่คนเล็กน้อยด้วยความตั้งใจและเต็มใจ
พระเจ้าทรงมองว่าเราได้กระทำสิ่งเหล่านั้นต่อพระคริสต์
และในเวลาเดียวกันที่เราละเลยทอดทิ้งคนที่เราจะต้องเอาใจใส่ เราก็ได้ทอดทิ้งและละเลยพระคริสต์ในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน
ถ้าวันนี้ตอนเย็นก่อนนอน พระคริสต์ถามท่านว่า
“วันนี้ท่านได้กระทำอะไรแก่เรา?”
ท่านจะตอบพระองค์ว่าอย่างไร?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น