ความจริงก็คือว่า...ทุกวันนี้เราไม่ได้อยู่ในสังคมโลกที่สงบสันติ
ทุกวันนี้มีแต่รายงานข่าวความขัดแย้งรุนแรงบนโลกใบนี้
ถึงแม้ว่าเราไม่อาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคที่ตกอยู่ใต้ภัยสงคราม เราก็ยังต้องพบกับความขัดแย้งในความสัมพันธ์กับคนอื่นในแง่มุมต่าง
ๆ ของชีวิต
เราพบว่ามีคนที่กระทำต่อเราด้วยอาการกริยาที่หยาบคาย
หรือไม่ก็กระทำต่อเราอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ
ไม่สนใจว่าเราจะรู้สึกอย่างไรต่อการกระทำ หรือ การแสดงออกของเขา บางครั้งถึงขั้นรุนแรงทั้งที่เจ้าตัวตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่พอใจ และจิตใจของเราเกิดความรุ่มร้อนแรงตึงเครียด
คำถามที่ต้องการคำตอบคือ... แล้วเราจะรับมือ
หรือ จัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?
เราจะจัดการอย่างไรกับคนที่มีอาการดังกล่าวที่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อคนอื่น แล้วจิตใจของเราเองยังอยู่ในความสงบสุขได้
นี่ไม่ใช่ทักษะความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิดแน่ แน่นอนครับ
เราแต่ละคนต้องเรียนรู้ว่าจะรับมือและจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
การรู้เท่าทันที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และ
มีมุมมองในเหตุการณ์ด้วยจิตใจที่เมตตากรุณา
ย่อมทำให้เราสามารถรับมือและจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้อย่างสันติ
สร้างสรรค์ และ มีจิตใจที่สงบ
และด้วยความพยายามเข้าอกเข้าใจผู้ที่แสดงพฤติกรรมดังกล่าว
1. พึงตระหนักชัดว่า
พฤติกรรมที่คนนั้นแสดงต่อเรา อาจไม่ได้มีเจตนาหรือตั้งใจอย่างที่เราคิด บ่อยครั้งเมื่อมีใครกระทำต่อเราอย่างหยาบคายรุนแรง เรามักคิดว่าเขาจงใจทำไม่ดีต่อเรา
และมักคิดไปในทางลบว่าที่เขาทำไม่ดีต่อเราเพราะเขามองว่าเราไม่มีคุณค่า
(มองไม่เห็นหัวของเรา) แล้วคิดต่อไปว่า
“ถ้าเราดูฉลาดกว่านี้ สวยกว่านี้ มั่งมีกว่านี้ หรือ มีตำแหน่งสูงกว่านี้
เขาจะไม่แสดงพฤติกรรมท่าทีเช่นนั้นต่อเราแน่”
ในเหตุการณ์เช่นนี้เราต้องเข้าใจว่า
ท่าทีพฤติกรรมที่คนนั้นแสดงออกต่อเราอาจจะเป็นเพราะมารยาทของเขาเป็นเช่นนั้น
หรือไม่อาจจะเพราะอารมณ์ติดพันจากเรื่องอื่นคนอื่นแล้วมาพาลกับเราก็ได้ ไม่เกี่ยวกับตัวของเราเลย
และถึงแม้ว่าเขามีท่าทีหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อเราเพราะเขามักทำกับคนที่เขาดูว่าต่ำต้อยกว่าเขา
เราก็ไม่ควรให้การกระทำที่ไม่พึงประสงค์ของเขาเข้ามามีอิทธิพลก่อกวน
รุกรานจิตใจของเรา
ให้เรามองว่า
ที่เขาแสดงท่าทีและพฤติกรรมเช่นนี้เพราะเป็นมารยาท หรือ บุคลิกส่วนตัวของเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นตัวตนของเราเลย
และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกำพืดบุคลิกส่วนตัวของเขา แล้วเราทำไมต้องให้สิ่งนี้ของเขามารุกรานโจมตีจิตใจของเราให้ขุ่นมัววุ่นวายใจไปทำไม
2. ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปรับมือ
หรือ จัดการกับคนที่ไม่เป็นที่พึงพอใจ น่าเสียดายที่มีบางคนมักทำตัวที่คนอื่นคบด้วยยากลำบาก เราไม่จำเป็นต้องไปแสดงปฏิกิริยาตอบโต้คนเช่นนี้ เช่น
เมื่อเพื่อนร่วมงานของเรากระทำหรือมีท่าทีที่ไม่ดีต่อเรา ให้เราจำกัดเวลาที่จะใช้กับคน ๆ นั้นในเวลานั้น
เราไม่มีพันธะที่จะต้องไปจัดการเปลี่ยนแปลงคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ดังกล่าว และไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปตอบโต้ท่าทีและพฤติกรรมที่ไม่ดีของเขา
(ไม่ต้องคิดไปสอนบทเรียนคนแบบนี้)
ให้เราใช้เวลากับคนที่แสดงออกถึงท่าทีและพฤติกรรมที่สุภาพ
ที่พึงประสงค์ ใช้เวลามากขึ้นกับคนเช่นนี้
ให้เราเลี่ยงที่จะใช้เวลากับคนที่บ่อนทำลายความสงบของทั้งตนและคนอื่น และเราไม่ควรเปิดจิตใจของเราให้อิทธิพลของคนบ่อนทำลายพวกนี้เข้ามาก่อการจลาจลวุ่นวายในจิตใจของเราด้วย
3. ให้เราเป็นคนที่น่าคบและคบคนที่น่าคบหา คนแบบไหนก็มักคบหาคนแบบนั้น
คบคนพาล คนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต
บัณฑิตพาไปหาผล
เราสามารถพบเห็นได้ไม่ยากนัก คนดี คนสุภาพ คนมีน้ำใจก็มักเลือกคบคนที่ดี
สุภาพ และมีน้ำใจเป็นเพื่อน
ในทางกลับกันคนดี สุภาพ และมีน้ำใจก็มีแนวโน้มสูงที่จะมีอิทธิพลให้ต่อคนที่น่าคบอย่างเขาด้วย หรือ
เราก็สามารถเห็นเป็นรูปธรรม เช่น ในครอบครัว ถ้าพ่อแม่เป็นคนแบบไหน ลูก ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะพฤติกรรมแบบเดียวกัน ที่เขาบอกว่า “เชื้อไม่ทิ้งแถว”
ดังนั้น
ถ้าเราต้องการให้กลุ่มเพื่อนที่เราคบด้วยเป็นแบบไหนก็ให้เราแสดงพฤติกรรมและท่าทีคนแบบนั้นด้วย ถ้าเราแสดงท่าทีและพฤติกรรมใช้ชีวิตของเราและแสดงต่อคนในกลุ่มแบบชีวิตที่สงบสันติ คนรอบข้างของเราก็จะค่อย ๆ มีพฤติกรรมและท่าทีที่เอื้อให้เกิดสันติสุขในกลุ่มเพื่อนที่เราคบกันด้วย ดังนั้น
ถ้าเราต้องการให้เพื่อนในกลุ่ม ในที่ทำงาน
เพื่อนร่วมงานเป็นคนแบบไหนให้เราเริ่มต้นเป็นคนแบบนั้น เริ่มต้นจากตัวเราก่อน แล้วอิทธิพลของสันติสุขจะค่อย ๆ เกิดขึ้นและแผ่คลุมในกลุ่มเพื่อนที่เราคบหา
5. ภาวนา อธิษฐาน ไตร่ตรอง
สะท้อนคิด เราทุกคนต้องการมีเวลาส่วนตัว มีเวลาไตร่ตรองและสะท้อนคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ที่ดี และ
ที่เลวร้าย
เพื่อเราจะมีเวลาใคร่ครวญสะท้อนคิดถึงบทเรียนที่เราได้รับ และถ้าจะให้เกิดสถานการณ์ที่ดี สร้างสรรค์
และเสริมสงบสุขร่วมกัน
เราควรจะริเริ่มอะไรจากตัวของเรา
เพื่อเป็นพลังที่แผ่กว้างออกท่ามกลางความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนร่วมงาน ในครอบครัว หรือ ในชุมชนสังคม
ในทุกวัน
เราควรมีเวลาที่จะอธิษฐาน ภาวนา
แผ่ความรักเมตตาไปยังเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนในกลุ่ม หรือ
สมาชิกในครอบครัว
เพื่อให้อิทธิพลของความรักเมตตา สุขสันติ และ
ความสงบสุขแผ่เข้าเสริมสร้างชีวิต จิตวิญญาณ ความคิด และ พฤติกรรมของแต่ละคน
ที่จะหนุนเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ที่สุขสันติไม่ว่าสถานการณ์เช่นไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
การมีชีวิต ความนึกคิด และจิตวิญญาณที่สุข สงบ
สันติ เป็นหัวใจที่นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตส่วนตัว และ ส่วนรวม แต่สุข สงบ
สันติเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง
แต่เป็นสิ่งที่เราแต่ละคนจะต้องเริ่มต้นที่ตนเองด้วยการหนุนเสริมจากพลังชีวิตจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในสัปดาห์นี้ ให้เราคิดใคร่ครวญว่า
ในสถานการณ์และบริบทชีวิตที่เราเป็นอยู่
เราจะเริ่มทำอะไร อย่างไรที่จะเป็นการเสริมสร้างให้เกิดสุข สงบ และ สันติ
ในชีวิตส่วนตัวของเรา
แล้วแผ่ขยายอิทธิพลกว้างออกสู่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ว่าในที่ทำงาน ครอบครัว หรือ ชุมชน เพื่อเราจะมีชีวิตที่สุข สงบ สันติ
มีชีวิตที่มีความสุขไงครับ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น