11 พฤษภาคม 2560

ความจริงก็คือว่า...ทุกวันนี้เราไม่ได้อยู่ในสังคมโลกที่สงบสันติ

ทุกวันนี้มีแต่รายงานข่าวความขัดแย้งรุนแรงบนโลกใบนี้   ถึงแม้ว่าเราไม่อาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคที่ตกอยู่ใต้ภัยสงคราม   เราก็ยังต้องพบกับความขัดแย้งในความสัมพันธ์กับคนอื่นในแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต

เราพบว่ามีคนที่กระทำต่อเราด้วยอาการกริยาที่หยาบคาย หรือไม่ก็กระทำต่อเราอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ  ไม่สนใจว่าเราจะรู้สึกอย่างไรต่อการกระทำ หรือ การแสดงออกของเขา  บางครั้งถึงขั้นรุนแรงทั้งที่เจ้าตัวตั้งใจและไม่ตั้งใจ   ทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่พอใจ   และจิตใจของเราเกิดความรุ่มร้อนแรงตึงเครียด

คำถามที่ต้องการคำตอบคือ... แล้วเราจะรับมือ หรือ จัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?    เราจะจัดการอย่างไรกับคนที่มีอาการดังกล่าวที่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อคนอื่น   แล้วจิตใจของเราเองยังอยู่ในความสงบสุขได้   นี่ไม่ใช่ทักษะความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิดแน่   แน่นอนครับ  เราแต่ละคนต้องเรียนรู้ว่าจะรับมือและจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

การรู้เท่าทันที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และ มีมุมมองในเหตุการณ์ด้วยจิตใจที่เมตตากรุณา   ย่อมทำให้เราสามารถรับมือและจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้อย่างสันติ สร้างสรรค์ และ มีจิตใจที่สงบ  และด้วยความพยายามเข้าอกเข้าใจผู้ที่แสดงพฤติกรรมดังกล่าว

1. พึงตระหนักชัดว่า พฤติกรรมที่คนนั้นแสดงต่อเรา อาจไม่ได้มีเจตนาหรือตั้งใจอย่างที่เราคิด   บ่อยครั้งเมื่อมีใครกระทำต่อเราอย่างหยาบคายรุนแรง   เรามักคิดว่าเขาจงใจทำไม่ดีต่อเรา   และมักคิดไปในทางลบว่าที่เขาทำไม่ดีต่อเราเพราะเขามองว่าเราไม่มีคุณค่า (มองไม่เห็นหัวของเรา) แล้วคิดต่อไปว่า  “ถ้าเราดูฉลาดกว่านี้ สวยกว่านี้ มั่งมีกว่านี้ หรือ มีตำแหน่งสูงกว่านี้ เขาจะไม่แสดงพฤติกรรมท่าทีเช่นนั้นต่อเราแน่”  ในเหตุการณ์เช่นนี้เราต้องเข้าใจว่า   ท่าทีพฤติกรรมที่คนนั้นแสดงออกต่อเราอาจจะเป็นเพราะมารยาทของเขาเป็นเช่นนั้น  หรือไม่อาจจะเพราะอารมณ์ติดพันจากเรื่องอื่นคนอื่นแล้วมาพาลกับเราก็ได้   ไม่เกี่ยวกับตัวของเราเลย   และถึงแม้ว่าเขามีท่าทีหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อเราเพราะเขามักทำกับคนที่เขาดูว่าต่ำต้อยกว่าเขา   เราก็ไม่ควรให้การกระทำที่ไม่พึงประสงค์ของเขาเข้ามามีอิทธิพลก่อกวน รุกรานจิตใจของเรา

ให้เรามองว่า ที่เขาแสดงท่าทีและพฤติกรรมเช่นนี้เพราะเป็นมารยาท หรือ บุคลิกส่วนตัวของเขา   ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นตัวตนของเราเลย   และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกำพืดบุคลิกส่วนตัวของเขา   แล้วเราทำไมต้องให้สิ่งนี้ของเขามารุกรานโจมตีจิตใจของเราให้ขุ่นมัววุ่นวายใจไปทำไม

2. ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปรับมือ หรือ จัดการกับคนที่ไม่เป็นที่พึงพอใจ   น่าเสียดายที่มีบางคนมักทำตัวที่คนอื่นคบด้วยยากลำบาก   เราไม่จำเป็นต้องไปแสดงปฏิกิริยาตอบโต้คนเช่นนี้   เช่น  เมื่อเพื่อนร่วมงานของเรากระทำหรือมีท่าทีที่ไม่ดีต่อเรา   ให้เราจำกัดเวลาที่จะใช้กับคน ๆ นั้นในเวลานั้น   เราไม่มีพันธะที่จะต้องไปจัดการเปลี่ยนแปลงคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ดังกล่าว  และไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปตอบโต้ท่าทีและพฤติกรรมที่ไม่ดีของเขา (ไม่ต้องคิดไปสอนบทเรียนคนแบบนี้)   ให้เราใช้เวลากับคนที่แสดงออกถึงท่าทีและพฤติกรรมที่สุภาพ ที่พึงประสงค์  ใช้เวลามากขึ้นกับคนเช่นนี้   ให้เราเลี่ยงที่จะใช้เวลากับคนที่บ่อนทำลายความสงบของทั้งตนและคนอื่น   และเราไม่ควรเปิดจิตใจของเราให้อิทธิพลของคนบ่อนทำลายพวกนี้เข้ามาก่อการจลาจลวุ่นวายในจิตใจของเราด้วย

3. ให้เราเป็นคนที่น่าคบและคบคนที่น่าคบหา  คนแบบไหนก็มักคบหาคนแบบนั้น   คบคนพาล คนพาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล   เราสามารถพบเห็นได้ไม่ยากนัก คนดี คนสุภาพ คนมีน้ำใจก็มักเลือกคบคนที่ดี สุภาพ และมีน้ำใจเป็นเพื่อน   ในทางกลับกันคนดี สุภาพ และมีน้ำใจก็มีแนวโน้มสูงที่จะมีอิทธิพลให้ต่อคนที่น่าคบอย่างเขาด้วย   หรือ  เราก็สามารถเห็นเป็นรูปธรรม เช่น ในครอบครัว   ถ้าพ่อแม่เป็นคนแบบไหน  ลูก ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะพฤติกรรมแบบเดียวกัน  ที่เขาบอกว่า “เชื้อไม่ทิ้งแถว”

ดังนั้น  ถ้าเราต้องการให้กลุ่มเพื่อนที่เราคบด้วยเป็นแบบไหนก็ให้เราแสดงพฤติกรรมและท่าทีคนแบบนั้นด้วย   ถ้าเราแสดงท่าทีและพฤติกรรมใช้ชีวิตของเราและแสดงต่อคนในกลุ่มแบบชีวิตที่สงบสันติ  คนรอบข้างของเราก็จะค่อย ๆ มีพฤติกรรมและท่าทีที่เอื้อให้เกิดสันติสุขในกลุ่มเพื่อนที่เราคบกันด้วย   ดังนั้น   ถ้าเราต้องการให้เพื่อนในกลุ่ม ในที่ทำงาน  เพื่อนร่วมงานเป็นคนแบบไหนให้เราเริ่มต้นเป็นคนแบบนั้น  เริ่มต้นจากตัวเราก่อน   แล้วอิทธิพลของสันติสุขจะค่อย ๆ เกิดขึ้นและแผ่คลุมในกลุ่มเพื่อนที่เราคบหา

5. ภาวนา อธิษฐาน ไตร่ตรอง สะท้อนคิด   เราทุกคนต้องการมีเวลาส่วนตัว  มีเวลาไตร่ตรองและสะท้อนคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน  ในแต่ละช่วงเวลา   ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ที่ดี และ ที่เลวร้าย   เพื่อเราจะมีเวลาใคร่ครวญสะท้อนคิดถึงบทเรียนที่เราได้รับ   และถ้าจะให้เกิดสถานการณ์ที่ดี สร้างสรรค์ และเสริมสงบสุขร่วมกัน   เราควรจะริเริ่มอะไรจากตัวของเรา   เพื่อเป็นพลังที่แผ่กว้างออกท่ามกลางความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนร่วมงาน  ในครอบครัว หรือ ในชุมชนสังคม

ในทุกวัน  เราควรมีเวลาที่จะอธิษฐาน ภาวนา  แผ่ความรักเมตตาไปยังเพื่อนร่วมงาน  เพื่อนในกลุ่ม  หรือ สมาชิกในครอบครัว   เพื่อให้อิทธิพลของความรักเมตตา สุขสันติ และ ความสงบสุขแผ่เข้าเสริมสร้างชีวิต จิตวิญญาณ ความคิด และ พฤติกรรมของแต่ละคน   ที่จะหนุนเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ที่สุขสันติไม่ว่าสถานการณ์เช่นไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

การมีชีวิต ความนึกคิด และจิตวิญญาณที่สุข สงบ สันติ เป็นหัวใจที่นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตส่วนตัว และ ส่วนรวม   แต่สุข สงบ สันติเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง   แต่เป็นสิ่งที่เราแต่ละคนจะต้องเริ่มต้นที่ตนเองด้วยการหนุนเสริมจากพลังชีวิตจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ในสัปดาห์นี้ ให้เราคิดใคร่ครวญว่า ในสถานการณ์และบริบทชีวิตที่เราเป็นอยู่   เราจะเริ่มทำอะไร อย่างไรที่จะเป็นการเสริมสร้างให้เกิดสุข สงบ และ สันติ ในชีวิตส่วนตัวของเรา  แล้วแผ่ขยายอิทธิพลกว้างออกสู่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง   ไม่ว่าในที่ทำงาน  ครอบครัว หรือ ชุมชน   เพื่อเราจะมีชีวิตที่สุข สงบ สันติ 

มีชีวิตที่มีความสุขไงครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น