เมื่อพูดถึงระบบสายพาน ผมคิดถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่มีการพัฒนาระบบการทำงานและการผลิต ที่ได้ผลิตให้ได้ทีละจำนวนมาก ๆ และสิ่งผลิตแต่ละชิ้นมีลักษณะเหมือนหรือใกล้เคียงกันมากที่สุด และใช้เวลาการผลิตที่น้อยลง
ใช้เครื่องจักรทำงานแทนกำลังผลิตของมนุษย์ ทำให้ต้นทุนต่ำลง แล้วให้ผู้ประกอบการมีกำไรสูงขึ้น
กรอบคิดแบบนี้ไม่ได้ใช้ในระบบอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ถูกนำมาประยุกต์ใช้คิดกับระบบการศึกษา ระบบการเกษตร
ระบบการพิมพ์ ระบบการทำงานในยุคทันสมัย และ คริสตจักรด้วยครับ! ยิ่งในสังคมทุนนิยมอย่างในปัจจุบัน การทำงานด้านต่าง ๆ ถูกกรอบให้มีวิธีคิดแบบ
“ธุรกิจ” เช่น ธุรกิจทางการศึกษา
ธุรกิจด้านสุขภาพ หรือ ด้านการแพทย์พยาบาล ครอบคลุมไปจนถึงธุรกิจการเกษตร ธุรกิจเภสัชกรรม รวมไปถึงธุรกิจการท่องเที่ยว และธุรกิจการบริการลักษณะต่าง ๆ
ทำให้มาฉุกคิดขึ้นว่า แล้วปัจจุบันคริสตจักรตกลงในกรอบคิดแบบทุนนิยม
หรือ ธุรกิจหรือไม่?
หลายคนตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ไม่”
คริสตจักรไม่ได้ตกในกรอบคิดแบบธุรกิจทุนนิยม เพราะเรายังไม่ได้เห็น “คริสตจักรไทยจำกัด”
สักแห่งเลย
เพียงแต่การจัดการของคริสตจักรมีความทันสมัยมากขึ้น เรามีอาคารโบสถ์ที่ใหญ่โตและสวยงามขึ้น เราพยายามที่จะมีระบบการเงินที่มั่นคงขึ้น และเราต้องการเป็นโบสถ์ที่มีคนมาร่วมนมัสการมากขึ้น แต่ที่แน่ชัดคือ สิ่งที่เคยเป็นพันธกิจคริสตจักรที่มีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตสังคม
และ เป็นเครื่องมือในการทำพันธกิจของคริสตจักรกลับถูกครอบงำด้วยระบบธุรกิจทุนนิยม กล่าวคือ โรงเรียน
(ปัจจุบันเรามีมหาวิทยาลัย) โรงพยาบาล
โรงพิมพ์
ถ้าจะนับเรื่องการพัฒนาและบริการสังคมก็ใช่ด้วย ปัจจุบันนี้ พันธกิจทั้งสี่ยังมีความสำคัญและใช้ในการทำพันธกิจคริสตจักร
ที่กิจสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในประเทศไทยอยู่หรือเปล่า?”
ที่ชัดเจน “โรงพิมพ์”
ที่คริสตจักรริเริ่มนำเข้ามาในประเทศไทยเพื่อพิมพ์พระคัมภีร์ ขณะนี้เลิกไปแล้ว! แต่เรายังมีโรงเรียน มหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาล ครั้งเริ่มแรกนั้น คริสตจักรนำระบบการศึกษา และ
ระบบสุขภาพการพยาบาลการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาด้วยเหตุผลที่ต้องการประกาศพระกิตติคุณด้วยการสำแดงความรักของพระคริสต์
เพื่อเป็นการสานต่อพระราชกิจของพระองค์ในดินแดนนี้
คริสตจักรเป็นตัวนำความก้าวหน้าเข้ามาสู่ประเทศไทยทั้งด้านการศึกษา และ
สุขภาพ
แต่ปัจจุบัน ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย
และโรงพยาบาลของคริสตจักรถูกครอบงำจากระบบกรอบคิดแบบธุรกิจทุนนิยม สิ่งที่เคยเป็นพันธกิจคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ในประเทศไทยถูกระบบ
“ธุรกิจการแพทย์เอกชน” และ “ธุรกิจทางการศึกษาเอกชน” ในประเทศไทย “จูงจมูก”
ไปอย่างเชื่อง ๆ
เราไม่ได้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่ประเทศไทย แต่เราต้องตามระบบธุรกิจ
มิใช่เพื่อจะแข่งขันกับเขาได้นะครับ
เราแค่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในวังวนธุรกิจทุนนิยมผลประโยชน์เท่านั้น และน่าเสียใจมากยิ่งกว่านั้นคือ ตัวคริสตจักรเอง และ องค์กรส่วนกลาง
ต่างคาดหวังที่จะให้ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาล
บริหารจัดการให้ได้กำไร
เพื่อส่วนหนึ่งให้นำมาเจือจุนค่าใช้จ่ายในส่วนกลาง และ ส่วนคริสตจักร การกระทำเช่นนี้มีรากฐานพระคัมภีร์หรือไม่อย่างไรยังไม่มีการพูดชัดเจนในขณะนี้?
สิ่งที่คริสตจักรไทยปัจจุบันจะต้องถามกันให้ชัดเจนคือ ในเมื่อโรงเรียน มหาวิทยาลัย
และโรงพยาบาลยังอยู่ใน “มือ” ของคริสตจักร เราเคยถามกันไหมว่า “ถ้าเป็นพระคริสต์แล้ว พระองค์ต้องการให้คริสตจักรไทยใช้ทั้ง 3 พันธกิจนี้ในการร่วมและสานต่อพระราชกิจของพระองค์อย่างไร?”
เราจะใช้พันธกิจทั้ง 3
อย่างที่จะสำแดงถึงความรัก เมตตา และการเสียสละชีวิตของพระคริสต์ในสังคมไทยปัจจุบันอย่างไร? หรือไม่ก็ต้องตอบคำถามที่ว่า
โรงพยาบาลคริสเตียนตั้งอยู่ในประเทศไทยไปทำไม?
โรงเรียนคริสเตียนตั้งอยู่ในประเทศไทยไปทำไม? มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในประเทศไทยไปทำไม?
เราจะใช้เนื้องานทั้งการศึกษา และ
สุขภาพเพื่อประกาศถึงความรักเมตตา และ การให้ชีวิตของพระคริสต์อย่างไร?
จำเป็นไหมที่เราจะต้องไปแข่งขันกับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเอกชน หรือ
โรงพยาบาลเอกชน ในประเทศไทย?
พันธกิจโรงพยายาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัยคริสเตียนมีเป้าหมายเดียวกับโรงพยาบาล
โรงเรียน มหาวิทยาลัยเอกชนทั้งหลายในประเทศไทยหรือ?
ที่ผ่านมาในวงการเอนจีโอ ได้มีการพูดถึง “การทำธุรกิจเพื่อสังคม” ก็ได้มีคริสตชนบางกลุ่มนำมาประยุกต์กล่าวถึง
“การทำธุรกิจเพื่อพันธกิจ”
แต่ไม่สามารถที่จะมาประยุกต์ใช้กับพันธกิจทั้งสามของคริสเตียนได้ เพราะโดยตัวของพันธกิจทั้ง 3 อย่างสามารถทำพันธกิจด้วยเนื้องานของตนเองอยู่แล้ว
กล่าวคือการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ด้วยเนื้องาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และ สุขภาพ
และทั้งสามพันธกิจเริ่มต้นเพื่อใช้ในการทำพันธกิจร่วมและสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในประเทศไทยแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว แล้วทำไมจึงต้องเปลี่ยนไปเป็น “ธุรกิจ” แต่การที่สามพันธกิจนี้จะกลับมาทำพันธกิจของพระคริสต์อย่างเต็มตัว คนในคริสตจักร และ ผู้บริหารส่วนกลางต้อง
“ล้างกรอบคิด” ที่จะให้สามพันธกิจดังกล่าวหาเงินมาจุนเจือชีวิตของคริสตจักร
และส่วนกลาง กล่าวเป็นภาพลักษณ์คือ
“เลิกกรอบคิดแบบปลิงดูดเลือด” สามพันธกิจดังกล่าว
จุดพลิกฟื้นอยู่ที่ไหน?
สิ่งแรกเราจะออกจากกรอบคิดโคลนตมแห่งธุรกิจทุนนิยม
และ ผลประโยชน์นิยมอย่างไร
- ให้คริสตชนไทย และ ทั้งสามพันธกิจกลับมาทบทวนค้นหาใหม่ว่า
จริง ๆ แล้วเราเป็นใคร
แล้วเรามีอยู่ตั้งอยู่เพื่ออะไรกันแน่?
- กลับไปทบทวนว่า
ประวัติเริ่มแรกของพันธกิจโรงเรียน
พันธกิจอุดมศึกษา และ
พันธกิจสุขภาพ (ไม่ใช่การแพทย์?)
ทำไมถึงได้เกิดพันธกิจทั้งสามในคริสตจักรประเทศไทย? ปัจจุบันเราได้สานต่ออย่างไร เหมือน/แตกต่างจากที่เริ่มไว้อย่างไร? ทำไม?
แล้ว “ทำไมเราถึงทำพันธกิจนี้”
หรือ เราบิดเบือน หรือ หลงตามกระแสสังคมปัจจุบันแบบไม่ลืมหูลืมตาหรือเปล่า? ทำไมต้องทำเช่นนั้น?
- กลับมาทบทวนประวัติศาสตร์การทำพันธกิจของคริสตจักรไทยว่า ในพันธกิจแต่ละด้าน เคยมีใครบ้างที่มุ่งทุ่มเท สร้างสรรค์ พันธกิจด้านนั้น ๆ ที่เป็นการ “ร่วมและสานต่อ” พระราชกิจของพระคริสต์ที่ได้เริ่มไว้ เขาเหล่านั้นทำอย่างไร? แล้วปัจจุบันเราจะทำอย่างไรดี?
แล้วช่วยกันเผยแพร่เรื่องราวชีวิตพันธกิจเหล่านั้นเพื่อปลุก
และ พลิกฟื้น
จิตวิญญาณของการทำพันธกิจคริสตจักรเพื่อร่วมและสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นใหม่ในประเทศไทย
อิสเตอร์/พระคริสต์คืนพระชนม์ (2017)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น