เมื่อเรายังเป็น “คริสตชนวัยทารก”
พระเจ้าทรงใส่ใจต่อ “อารมณ์ความรู้สึก” ของเรา
พระองค์ทรงตอบการทูลขออย่าง “คริสตชนที่ยังเป็นทารกในพระคริสต์”
ของเรา แม้จะเป็นการทูลขอตามใจตนเอง ทั้งนี้พระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้ว่า
พระองค์อยู่เคียงข้างเสมอในชีวิตของเรา
แต่เมื่อทารกเติบโตถึงขั้นที่จะต้อง “หย่านม” ถึงเวลาที่จะต้องจัดการรับผิดชอบกับตนเอง พระองค์เริ่มที่จะทำให้เราต้องเติบโต “เป็นผู้ใหญ่”
ในพระคริสต์ เป็นคริสตชนที่มีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น
มีอยู่สองคำที่คริสตชนจะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจชัดเจนคือ พระเจ้าทรงอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง กับ
พระเจ้าทรงสำแดงถึงการทรงสถิตอยู่กับเรา
คำแรกเป็นสัจจะความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่คำที่สองเป็นคำที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งจะมีหรือเกิดขึ้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ ทั้งที่เราสำนึกและไม่สำนึกก็ตาม
การสำแดงการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ก็เป็นความจริงแต่มักปรากฏผ่านความรู้สึกของแต่ละคน
หรือ ชี้วัดผ่านทางอารมณ์ความรู้สึกของคน
พระเจ้าต้องการให้เราสำนึกถึงการเป็นอยู่ด้วยของพระองค์เสมอ
แต่พระองค์ต้องการให้เราสำนึกมิใช่ด้วยความรู้สึกเท่านั้น แต่ต้องการให้เราสำนึกด้วยการไว้วางใจในพระองค์มากกว่า ความเชื่อศรัทธาไม่ใช่ความรู้สึก แต่มีชีวิตที่พระเจ้าทรงพึงพอพระทัย
เมื่อพระเจ้าทรงยืดขยายความเชื่อศรัทธาของเรา
ในสถานการณ์ชีวิตฉีกขาด แตกสลาย แย่สุดคือ ในเวลานั้นมองหาพระเจ้าไม่พบ สถานการณ์เช่นนี้เกิดแก่โยบ
เพียงภายในวันเดียวเขาสูญเสียทุกอย่างที่เขามีอยู่ ไม่ว่าคนในครอบครัวของเขา ธุรกิจการงานของเขา สุขภาพของตน
เขาสูญเสียทุกอย่างที่เคยมี
แต่ที่แย่ที่สุดเราพบว่า ตลอดพระธรรม 42 บท แต่มีถึง 37 บทที่พระเจ้ามิได้ตรัสอะไรเลย
ในเวลาที่ย่ำแย่ในชีวิต
กลับเป็นโอกาสที่สำคัญที่พระเจ้าทรงเสริมสร้างชีวิตของเราให้แข็งแรง!
แล้วจะให้เราสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรเมื่อเราไม่เข้าใจเลยว่า
สิ่งเลวร้ายรุนแรงเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา
แล้วพระเจ้าทำไมยังเงียบเชียบ?
เราจะติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าในยามวิกฤติชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไรเมื่อไม่มีเสียงติดต่อสื่อสารจากพระองค์?
แล้วเราจะมองเห็นพระคริสต์ได้อย่างไรเมื่อดวงตาทั้งสองข้างของเราเจิ่งนองด้วยน้ำตา? เราได้ทำอย่างโยบหรือไม่?
“(โยบ)...กราบลงถึงดินนมัสการ(พระเจ้า)
ท่านว่า
“ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า
พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย
สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์...” (โยบ 1:20-21 มตฐ.)
โยบทูล(บอก)ต่อพระเจ้าจากที่ตนเองรู้สึกจริง ๆ เทความรู้สึกทั้งหมดต่อพระเจ้า
“ฉะนั้น
ข้าพระองค์จะไม่นิ่งอยู่
ข้าพระองค์จะพูดออกมาด้วยความทุกข์ระทมใจ
ข้าพระองค์จะพร่ำบ่นด้วยความขมขื่นในดวงวิญญาณ” (โยบ 7:11 อมต.)
เมื่อโยบเห็นและรู้สึกว่าพระเจ้าช่างอยู่ห่างไกลจากเขาเสียเหลือเกิน โยบร้องทูลต่อพระเจ้าถึงสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำเมื่อวาน
ๆ
“คิดถึงวัยฉกรรจ์
เมื่อมิตรภาพแน่นแฟ้นของพระเจ้าเป็นพรแก่บ้านของข้า เมื่อพระองค์ทรงฤทธิ์ยังสถิตกับข้าและลูก ๆ ของข้าห้อมล้อมข้า เมื่อกิจการของข้าเจริญรุ่งเรือง แม้แต่หินผายังหลั่งน้ำมันมะกอกให้...” (โยบ 29:4-6 มตฐ.)
ในเวลาที่เลวร้ายสุด ๆ ในชีวิต ในเวลาที่ “ความรู้สึก”
บอกเราว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลโพ้น
ในเวลาที่ไม่มีเสียงจากพระองค์
จงวางใจในพระเจ้าว่า
พระองค์จะรับมือและจัดการกับ ความสงสัย ความโกรธ ความกลัว ความยุ่งยากสับสน รวมไปถึงคำถามมากมายทั้งในจิตใจของเราและจากคนรอบข้าง
ในเวลาย่ำแย่เลวร้ายเช่นนี้เราสามารถทูลกับพระองค์ทุกสิ่ง พระองค์ใส่ใจ
และ ฟังด้วยใส่พระทัย
พระธรรมนำการดำเนินชีวิต
ë ในเวลาที่เราเรารู้สึกว่าพระองค์อยู่ห่างไกลจากเรา อะไรที่แสดงว่าเรายังไว้วางใจในพระองค์?
ë เมื่อชีวิตของเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย
และไม่รู้ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตถึงเป็นเช่นนี้ แล้วเราจะสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องอะไรได้บ้าง?
ë ในชีวิตจริงของท่านที่ผ่านมา เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้บ้างไหม? ถ้าเคยพบ
ท่านรับมือ และ จัดการอย่างไร?
แต่ถ้าต้องประสบพบอีกในอนาคต ท่านจะจัดการรับมืออย่างไร?
ท่านสามารถแบ่งปันประสบการณ์ของท่านได้ครับ!
ท่านเห็นว่าคริสตจักร และ คริสตชนไทยปัจจุบันนี้ ให้ความสำคัญกับ “อารมณ์ความรู้สึก”
เมื่อเข้าพบพระเจ้า หรือให้ความสำคัญกับ
“ความไว้วางใจ” พระเจ้าแม้สถานการณ์ชีวิตจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น