22 พฤษภาคม 2560

ความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์!

เมื่อเรายังเป็น “คริสตชนวัยทารก” พระเจ้าทรงใส่ใจต่อ “อารมณ์ความรู้สึก” ของเรา   พระองค์ทรงตอบการทูลขออย่าง “คริสตชนที่ยังเป็นทารกในพระคริสต์” ของเรา   แม้จะเป็นการทูลขอตามใจตนเอง  ทั้งนี้พระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้ว่า พระองค์อยู่เคียงข้างเสมอในชีวิตของเรา   แต่เมื่อทารกเติบโตถึงขั้นที่จะต้อง “หย่านม”  ถึงเวลาที่จะต้องจัดการรับผิดชอบกับตนเอง   พระองค์เริ่มที่จะทำให้เราต้องเติบโต “เป็นผู้ใหญ่” ในพระคริสต์   เป็นคริสตชนที่มีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น

มีอยู่สองคำที่คริสตชนจะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจชัดเจนคือ  พระเจ้าทรงอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง  กับ  พระเจ้าทรงสำแดงถึงการทรงสถิตอยู่กับเรา   คำแรกเป็นสัจจะความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง   แต่คำที่สองเป็นคำที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก   ซึ่งจะมีหรือเกิดขึ้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน   พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ  ทั้งที่เราสำนึกและไม่สำนึกก็ตาม   การสำแดงการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ก็เป็นความจริงแต่มักปรากฏผ่านความรู้สึกของแต่ละคน หรือ ชี้วัดผ่านทางอารมณ์ความรู้สึกของคน

พระเจ้าต้องการให้เราสำนึกถึงการเป็นอยู่ด้วยของพระองค์เสมอ   แต่พระองค์ต้องการให้เราสำนึกมิใช่ด้วยความรู้สึกเท่านั้น แต่ต้องการให้เราสำนึกด้วยการไว้วางใจในพระองค์มากกว่า   ความเชื่อศรัทธาไม่ใช่ความรู้สึก  แต่มีชีวิตที่พระเจ้าทรงพึงพอพระทัย

เมื่อพระเจ้าทรงยืดขยายความเชื่อศรัทธาของเรา ในสถานการณ์ชีวิตฉีกขาด แตกสลาย แย่สุดคือ ในเวลานั้นมองหาพระเจ้าไม่พบ  สถานการณ์เช่นนี้เกิดแก่โยบ   เพียงภายในวันเดียวเขาสูญเสียทุกอย่างที่เขามีอยู่   ไม่ว่าคนในครอบครัวของเขา   ธุรกิจการงานของเขา   สุขภาพของตน  เขาสูญเสียทุกอย่างที่เคยมี   แต่ที่แย่ที่สุดเราพบว่า ตลอดพระธรรม 42 บท แต่มีถึง 37 บทที่พระเจ้ามิได้ตรัสอะไรเลย

ในเวลาที่ย่ำแย่ในชีวิต  กลับเป็นโอกาสที่สำคัญที่พระเจ้าทรงเสริมสร้างชีวิตของเราให้แข็งแรง!

แล้วจะให้เราสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรเมื่อเราไม่เข้าใจเลยว่า สิ่งเลวร้ายรุนแรงเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา  แล้วพระเจ้าทำไมยังเงียบเชียบ?   เราจะติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าในยามวิกฤติชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไรเมื่อไม่มีเสียงติดต่อสื่อสารจากพระองค์?   แล้วเราจะมองเห็นพระคริสต์ได้อย่างไรเมื่อดวงตาทั้งสองข้างของเราเจิ่งนองด้วยน้ำตา?   เราได้ทำอย่างโยบหรือไม่?

“(โยบ)...กราบ​ลง​ถึง​ดิน​นมัส​การ(พระเจ้า)  ท่าน​ว่า “ข้า​มา​จาก​ครรภ์​มาร​ดา​ตัว​เปล่า และ​ข้า​จะ​กลับ​ไป​ตัว​เปล่า พระ​ยาห์​เวห์​ประ​ทาน และ​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​เอา​ไป​เสีย สาธุ​การ​แด่​พระ​นาม​พระ​ยาห์​เวห์...” (โยบ 1:20-21 มตฐ.)

โยบทูล(บอก)ต่อพระเจ้าจากที่ตนเองรู้สึกจริง ๆ   เทความรู้สึกทั้งหมดต่อพระเจ้า 

“ฉะนั้น ข้าพระองค์จะไม่นิ่งอยู่   ข้าพระองค์จะพูดออกมาด้วยความทุกข์ระทมใจ  ข้าพระองค์จะพร่ำบ่นด้วยความขมขื่นในดวงวิญญาณ” (โยบ 7:11 อมต.)

เมื่อโยบเห็นและรู้สึกว่าพระเจ้าช่างอยู่ห่างไกลจากเขาเสียเหลือเกิน   โยบร้องทูลต่อพระเจ้าถึงสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำเมื่อวาน ๆ  

“คิดถึงวัยฉกรรจ์   เมื่อมิตรภาพแน่นแฟ้นของพระเจ้าเป็นพรแก่บ้านของข้า   เมื่อพระองค์ทรงฤทธิ์ยังสถิตกับข้าและลูก ๆ ของข้าห้อมล้อมข้า   เมื่อกิจการของข้าเจริญรุ่งเรือง   แม้แต่หินผายังหลั่งน้ำมันมะกอกให้...” (โยบ 29:4-6 มตฐ.)

ในเวลาที่เลวร้ายสุด ๆ ในชีวิต   ในเวลาที่ “ความรู้สึก” บอกเราว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลโพ้น  ในเวลาที่ไม่มีเสียงจากพระองค์   จงวางใจในพระเจ้าว่า  พระองค์จะรับมือและจัดการกับ ความสงสัย ความโกรธ ความกลัว  ความยุ่งยากสับสน   รวมไปถึงคำถามมากมายทั้งในจิตใจของเราและจากคนรอบข้าง   ในเวลาย่ำแย่เลวร้ายเช่นนี้เราสามารถทูลกับพระองค์ทุกสิ่ง   พระองค์ใส่ใจ  และ  ฟังด้วยใส่พระทัย

พระธรรมนำการดำเนินชีวิต

ë ในเวลาที่เราเรารู้สึกว่าพระองค์อยู่ห่างไกลจากเรา   อะไรที่แสดงว่าเรายังไว้วางใจในพระองค์?

ë เมื่อชีวิตของเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย  และไม่รู้ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตถึงเป็นเช่นนี้  แล้วเราจะสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องอะไรได้บ้าง?

ë ในชีวิตจริงของท่านที่ผ่านมา  เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้บ้างไหม?   ถ้าเคยพบ  ท่านรับมือ และ จัดการอย่างไร?   แต่ถ้าต้องประสบพบอีกในอนาคต ท่านจะจัดการรับมืออย่างไร?

ท่านสามารถแบ่งปันประสบการณ์ของท่านได้ครับ!

ท่านเห็นว่าคริสตจักร และ คริสตชนไทยปัจจุบันนี้  ให้ความสำคัญกับ “อารมณ์ความรู้สึก” เมื่อเข้าพบพระเจ้า  หรือให้ความสำคัญกับ “ความไว้วางใจ” พระเจ้าแม้สถานการณ์ชีวิตจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น