เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความขัดแย้งในชีวิตมาแล้วไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในมิติใดในชีวิต หลายท่านต้องเผชิญกับความขัดแย้งในชีวิตครอบครัว บ้างในชีวิตสมรส บ้างก็ต้องรับมือกับความขัดแย้งในที่ทำงาน ในความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง รวมไปถึงความขัดแย้งในคริสตจักร และในกลุ่มทำพันธกิจด้วย เรียกว่าความขัดแย้งมันเข้ามาแทรกตัวแล้วสร้างปัญหาและผลเสียหายด้านต่าง ๆ ในชีวิต
จากประสบการณ์ในการรับมือกับความขัดแย้งในชีวิต
เมื่อประมวลประสบการณ์ที่ได้รับพอจะตกผลึกมาเป็น 4
วินัยชีวิตที่สำคัญที่ใช้เป็นหลักการแนวทางในการรับมือกับความขัดแย้งด้านต่าง ๆ ในชีวิตคริสตชนได้อย่างเกิดผล
ซึ่งวินัยชีวิตทั้ง 4 ประการดังกล่าวมีดังนี้...
วินัยชีวิตประการที่ 1: มุ่งมองไปยังพระเจ้า
ขั้นแรกนี้ให้เราถามตนเองว่า
“เราจะมุ่งมองและให้ความสำคัญแด่พระเจ้าในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร?
ท่ามกลางภาวะความขัดแย้ง
เรามักจะคิดถึงพระเจ้าเป็นบุคคลสุดท้ายเมื่อเราหมดที่พึ่งและความหวังแล้ว เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งใด
ๆ ให้เราเริ่มต้นวินัยชีวิตของเราด้วยการมุ่งมองและคิดถึงพระเจ้าเป็นบุคคลแรกด้วยการที่เราจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะชี้นำวิธีการและวิถีทางในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ความขัดแย้งเป็นเหตุให้เรามีโอกาสที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
บางท่านอาจจะถามในใจว่า
ในภาวะเช่นนี้เราจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไร? วิถีหลัก ๆ ในการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าในภาวะความขัดแย้งคือ
การไว้วางใจพระเจ้าในทุกสถานการณ์ การเชื่อฟังพระองค์ และการใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์ในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้
วินัยชีวิตประการที่ 2:
มุ่งมองตรวจสอบชีวิตของตนเอง
ในขั้นตอนนี้ให้เราถามตนเองว่า
“เรามีส่วนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งนี้อย่างไรบ้าง?
ไม่ว่าในความขัดแย้งของชีวิตสมรส
ชีวิตครอบครัว หรือชีวิตในที่ทำงาน รวมไปถึงความขัดแย้งในการทำพันธกิจในคริสตจักร เรามักจะมุ่งมองไปที่คนอื่นว่าทำไม่ดีกับเราอย่างไร
แต่ด้วยวินัยชีวิตแบบนี้ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้เลย ในมัทธิว 7:3-5
พระเยซูคริสต์ได้ช่วยให้เราเห็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนในเรื่องความขัดแย้ง พระองค์กล่าวถึงคนหนึ่งที่มีไม้ทั้งท่อนขวางอยู่ในตาของเขา
แต่พยายามที่จะเขี่ยผงในตาของคนอื่น พระองค์สอนเราว่า สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ
จงชักไม้ทั้งท่อนให้ออกจากตาของตัวเราเองก่อน
การที่เราจะยอมรับส่วนที่เราทำให้เกิดความขัดแย้ง
จำเป็นที่เราต้องมีการอ่อนน้อมถ่อมตนแบบพระเยซูคริสต์
เราสามารถที่จะเอาชนะทัศนคติที่เปราะบางและความรู้สึกที่อ่อนไหวด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน
เราจะรับมือกับความเย่อหยิ่งผยองของเราเองได้ก็ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนในตัวเรา ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
ยอมรับความผิดพลาดและความบาปผิดของเราเองด้วยความจริงใจและเต็มใจต่อคู่กรณีในความขัดแย้งดังกล่าว
และในความอ่อนน้อมถ่อมตนเราจำเป็นที่จะต้องฟังคำแนะนำจากคนอื่นเพื่อที่จะช่วยแนะนำเราในการแก้ไขรับมือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ในการที่เราจะยอมรับในส่วนความผิดของเราที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
ให้เราหลีกเลี่ยงการกระทำต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า “ถ้า” “แต่” และ
“อาจจะ”
- เป็นการยอมรับที่จริงใจและเต็มใจในเรื่องนั้น
มิใช่ยอมรับเฉพาะบางแง่บางมุม
- หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจะนำผลข้างเคียงที่จะตามมา
- ไม่ใช่เป็นการยอมรับในแบบการแก้ตัว
- ไม่ขอการยกโทษ
(ปล่อยให้การให้อภัยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ)
ในพระธรรมสุภาษิต 28:13 กล่าวว่า “ผู้ซ่อนการละเมิดของตนไว้จะไม่เจริญ แต่ผู้สารภาพและทิ้งมันจะได้ความกรุณา”
(มตฐ.) เป็นการสำคัญอย่างมากที่เรามุ่งมองและตรวจสอบตนเอง
และ ยอมรับความผิดพลาดของเราที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งดังกล่าว
วินัยชีวิตประการที่ 3:
มุมมองของเราในการมองผู้อื่น หรือ คู่กรณี
บางคนอาจจะคิดว่า นี่เป็นขั้นตอนที่เรารอคอย
เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการแก้ความขัดแย้ง แต่เราต้องระวัง! ไม่ใช่เป็นไปอย่างที่เราคิด
ขั้นตอนที่สามนี้ไม่ใช่โอกาสของท่านที่จะขุดคุ้ยแสดงชัดถึงสิ่งที่คู่กรณีของเราได้กระทำผิด
ในขั้นตอนที่สามนี้เราถามคำถามว่า
“เราจะช่วยคนอื่นหรือคู่กรณีที่มีส่วนในความผิดพลาดในความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร?” ไม่ใช่
“เราจะทำให้เขาต้องยอมรับ และ รู้สึกผิดในสิ่งที่เขาทำผิดอย่างไร?
ในการแสวงหาและเสริมสร้างความสงบสุข ให้เรามุ่งมองไปที่พระเจ้า และตรวจสอบความผิดพลาดของตนเองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งก่อนที่เราจะช่วยคนอื่นในความผิดพลาดของเขาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งนี้
พระธรรมกาลาเทีย 6:1 กล่าวไว้ว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้
พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ
จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง
เกรงว่าท่านจะถูกทดลองด้วย” (มตฐ.)
เป้าหมายในขั้นตอนนี้คือ
ความถ่อมสุภาพ การมีจิตใจที่อ่อนโยนเป็นผลของพระวิญญาณ ดังนั้น
การที่เราจะมีจิตใจที่อ่อนโยนสุภาพได้ก็ต่อเมื่อเราพึ่งพิงในพระกำลังจากพระเจ้าที่ทำงานในชีวิตจิตใจของเราเท่านั้น
และนี่คือเหตุผลว่าขั้นตอนที่หนึ่งที่ให้เรามุ่งมองไปยังพระเจ้าเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการแก้ไขรับมือกับภาวะความขัดแย้ง
และในขั้นตอนที่สองก็มีส่วนสำคัญมากด้วย เราจะไม่สามารถกล่าวถึงความผิดพลาดของคนอื่นได้นอกจากที่เราจะรู้เท่าทันถึงความผิดพลาดของตนเองในครั้งนี้ก่อน
วินัยชีวิตประการที่ 4: มุมมองในการมองร่วมกัน
ในขั้นตอนนี้เราถามตนเองว่า
“เราจะยกโทษและช่วยหาทางออกที่สมเหตุสมผลได้อย่างไร?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น