ทุกวันนี้ เมื่อได้พบผู้คนที่ต้องทำงานในแต่ละวันมักจะได้ยินเสียงบ่นว่า เจ้านาย หรือ หัวหน้างานของเขาที่ต้องทำงานด้วยว่า “เป็นเจ้านายที่ยอดแย่” “เป็นหัวหน้าที่ยอดห่ว...” จากนั้นก็ตามด้วยความถามยอดฮิตว่า... แล้วจะให้เขาทำงานอย่างไรกับคนแบบนั้น?
ผมขอประมวลคำแนะนำที่ได้จากประสบการณ์ของคริสตชนหลายท่านที่ให้หลักการรับมือในการทำงานกับ
“เจ้านายที่ยอดแย่” “หัวหน้าที่ยอดห่ว...”
เป็น 5 ประการดังนี้
1) มีชีวิตที่ได้รับการทรงเรียกที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็น “แก่นกลาง”
(ศูนย์กลาง)
นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตปกติทั่วไป
เปาโลกล่าวว่าการงานที่เราทำทั้งสิ้นให้เราทำรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทำต่อหัวหน้างานหรือนายจ้างแต่เป็นการทำงานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
“จงรับใช้ด้วยความเต็มใจราวกับกำลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์
เพราะท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปูนบำเหน็จความดีความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือเป็นไท”
(เอเฟซัส 6:7-8 อมธ.)
นั่นหมายความว่าในขณะที่เราทำงานใด
ๆ เราทำงานด้วยใจจดจ่ออยู่ที่งานที่เราทำและมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็น “แก่นกลาง”
ของงานนั้นและในชีวิตของเรา เมื่อเราทำงานเราจะถามตนเองว่า ทำไมพระเจ้าประสงค์ให้เราทำงานนี้?
เราจะต้องทำงานนี้อย่างไรที่จะเป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า?
พระองค์ประสงค์ที่จะให้เราทำงานชิ้นนี้เสร็จเมื่อใด?
พระองค์จะทรงช่วยเราในการทำงานนี้หรือไม่?
การทำงานนี้จะมีผลให้เกิดการสรรเสริญถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างไร?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
การเป็นคริสตชนหมายถึงการที่เรามีชีวิตและทำงานโดยมีพระเจ้าเป็นแก่นกลางในชีวิตและการงาน
2) การทรงเรียกให้เราเป็นคนที่ดีของพระองค์
การมีชีวิตที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศูนย์กลางหมายถึงการที่เราเป็นคนที่ดีและกระทำในสิ่งดี เปาโลกล่าวว่า “...องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปูนบำเหน็จความดีความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี...”
(ข้อ
8) พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“...พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง
เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:16 มตฐ.)
3) มีพลังในการทำงานอย่างดีเพื่อหัวหน้า หรือ นายจ้างที่ไม่เห็นอกเห็นใจ
เปาโลประสงค์ที่จะให้กำลังใจแก่คริสตชน
ด้วยแรงจูงใจที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นแก่นกลาง ให้ยืนหยัดในการทำดีเพื่อหัวหน้า
หรือ นายจ้างของเราแม้เขาจะเป็นคนที่พร่องในความเห็นอกเห็นใจคนอื่น หรือ เป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง
งกแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก เอาเปรียบลูกน้องและคนอื่นก็ตาม แล้วเรายังคงทำสิ่งที่ดีในหน้าที่การงานเมื่อเจ้านายไม่สนใจไม่ใส่ใจเรา
หรือ ตำหนิต่อว่าร้ายเราได้อย่างไร? เปาโลตอบว่า เลิกคิดเกี่ยวกับเจ้านาย หรือ
หัวหน้าของเรา
แต่เริ่มทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในงานที่เจ้านาย หรือ หัวหน้ามอบหมายให้เราทำและรับผิดชอบ
4) ให้กำลังใจแก่ตนเองว่า การทำดีจะไร้ประโยชน์ก็หาไม่
ประโยคที่น่าทึ่งที่สุดจากข้อพระคัมภีร์ในตอนที่เราอ่านคือ
“เพราะท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปูนบำเหน็จความดีความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี”
เรามิได้ทำดีเพื่อหวังการปูนบำเหน็จจากนายจ้าง หรือ
หัวหน้าของเรา แต่การดีทุกอย่างที่เรากระทำไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ปูนบำเหน็จในความดีที่เราทำ
และนี่แสดงชี้ชัดว่าทุกสิ่งที่เรากระทำดีไม่ว่าเล็กหรือใหญ่แค่ไหนพระเจ้าใส่ใจและเห็นตลอดเวลา
และพระองค์เป็นผู้ตอบแทนการกระทำของเรามิใช่มนุษย์ มิใช่นายจ้าง และ มิใช่หัวหน้า
5) สถานภาพของเราในสังคมโลกนี้จะเป็นเช่นไรก็ตาม จะไม่สามารถกีดกันขัดขวางของประทานตอบแทนจากเบื้องบน
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานผลตอบแทนในทุกสิ่งดีที่เรากระทำ
“ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือเป็นไท” หัวหน้างานหรือเจ้านายของเราอาจจะมองว่าเราไม่ใช่คนสำคัญอะไร
“เป็นเพียงแรงงานรับจ้าง” หรือ มองเราอย่างคนด้อยค่าราคาในสายตาของเขา
บางครั้งมองข้ามหัวเราเหมือนเราไม่ได้อยู่ที่นั่น อย่าให้การกระทำเหล่านี้ของหัวหน้า
หรือ นายจ้างทำให้เรารู้สึกแย่ท้อแท้ แต่เราพึงตระหนักชัดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้และใส่ใจว่าเราอยู่ที่นั่น
และรู้ถึงงานรับใช้ต่าง ๆ ที่เรากระทำด้วยความสัตย์ซื่อที่จะไม่ศูนย์เปล่า
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น