เรามักพูดว่า การเป็นสาวกของพระคริสต์ คือการที่เรามีชีวิตที่เป็นเหมือนพระองค์ อนุชนคนหนึ่งถามผมว่า แล้วถ้าเราจะเป็นสาวกพระคริสต์ เราจะต้องมีชีวิตเหมือนกับพระคริสต์ในลักษณะใดบ้าง?
ลักษณะชีวิตที่เฉพาะ
หรือ อัตลักษณ์ของพระคริสต์มีลักษณะอย่างไรบ้าง?
ตอนนี้เราคงยังไม่มีคำตอบที่
“ชัดเจนตายตัว” แต่ให้เราสังเกตและเรียนรู้จากสิ่งที่พระองค์สอนแล้วพระองค์ทำเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแก่เรา
ที่เราจะเลียนแบบและทำตามแบบอย่างของพระองค์ ในข้อเขียนนี้ได้ประมวล “อัตลักษณ์”
คุณลักษณะเด่นและสำคัญของพระเยซูคริสต์
ที่สาวกพึงได้รับการเสริมสร้างดังนี้ครับ...
1. พระคริสต์ออกไปใช้ชีวิตประจำวันเข้าถึงและร่วมกับคนบาป
ในเวลานั้นบรรดาคนเก็บภาษีและพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์
พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ก็บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา” (ลูกา
15:1-2 มตฐ.) พระเยซูคริสต์ใช้เวลาชีวิตทุ่มเทแก่คนบาปเพื่อที่จะช่วยพวกเขาให้ได้รับความรอด
ในขณะที่พวกผู้นำศาสนายิวแยกตนเองอยู่ห่างไกลจากคนบาปเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตน
เพื่อตนจะได้รับความรอด
2. พระคริสต์ให้คุณค่าความจริง
“ชีวิตภายใน” มากกว่าลักษณะภายนอกที่ฉาบฉวยหลอกลวง
“วิบัติแก่เจ้า
เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าล้างถ้วยชามแต่ภายนอก
ส่วนภายในเต็มไปด้วยความโลภและความมัวเมาในกิเลส...
เจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพฉาบปูนขาว ภายนอกแลดูสวยงามแต่ภายในเต็มไปด้วยซากกระดูกและสิ่งโสโครกทั้งปวง”
(มัทธิว 23:25 & 27 อมธ.) พระเยซูคริสต์พิจารณาคุณลักษณะชีวิตที่
“ภายใน” คือ ฐานเชื่อ กระบวนคิด และมุมมองชีวิตของแต่ละคน มิใช่ดูเพียงท่าทีฉาบฉวยภายนอก
3. พระคริสต์ปลอบโยน
หนุนช่วยผู้ทุกข์ยาก
“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา
และเราจะให้ท่านพักสงบ จงรับแอกของเราแบกไว้และเรียนรู้จากเราเพราะเราสุภาพและถ่อมใจ
แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ
เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะและภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30 อมธ.) การเป็นผู้นำแบบพระคริสต์มิใช่การแสดงอำนาจ
ความยิ่งใหญ่ ความเหนือชั้นกว่าคนอื่น แต่ความถ่อมอกถ่อมใจต่างหากที่จะช่วยให้ผู้อื่นได้พบกับความสงบในชีวิต
การเป็นผู้นำมีใช่ตนเองมีความเด่นดังแกร่งกล้า แต่การเป็นผู้นำเพื่อนำศานติสุขแก่ชีวิตผู้คนทั้งหลายให้พบกับความสงบ
4. พระคริสต์ส่งเสริมศักดิ์ศรีและคุณค่าของสตรีและคนชายขอบ
มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวแก่เหล่าสาวกว่า
“ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!” และเล่าถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสกับนาง
(ยอห์น 20:18 อมธ. ดูข้อ 27 ด้วย) พระเยซูปรากฏแก่สตรีเป็นคนแรกหลังการเป็นขึ้นจากความตาย
และยังมอบหมายให้สตรีเป็นผู้นำข่าวดีแห่งการเป็นขึ้นจากความตายไปบอกแก่สาวกคนอื่น ๆ
5. พระคริสต์ปกป้องและให้คุณค่าแก่เด็ก
ๆ
“และถ้าใครจะยอมรับเด็กเล็ก
ๆ อย่างนี้สักคนหนึ่งในนามของเรา คนนั้นก็ยอมรับเราด้วย
แต่ถ้าใครทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราหลงผิดไป เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอคนนั้นแล้วถ่วงเขาเสียที่ทะเลลึกก็จะดีกว่า”
(มัทธิว 18:5-6 มตฐ.) พระคริสต์ให้คุณค่าชีวิตเด็กเทียบเท่าคุณค่าของพระองค์ และใครที่ทำให้เด็กหลงผิดเขาคนนั้นควรได้รับโทษถึงความตาย
6. พระคริสต์ใส่ใจเข้าถึงคนหลงหายมากกว่าคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรม
พระเยซูตรัส...ว่า
“คนสบายไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม
แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจใหม่” (ลูกา 5:31-32 มตฐ.) เป้าหมายหลักของพระเยซูคริสต์คือ
การช่วยให้คนบาปได้กลับใจมีชีวิตใหม่ พระองค์มิได้มาเพื่อคนที่คิดว่าตนเองเป็นคนชอบธรรม
เพราะคนพวกนี้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงชีวิต
7. พระคริสต์มิได้ให้ความสำคัญแก่อำนาจ
ความโดดเด่น ตำแหน่ง และชื่อเสียงเกียรติยศ
จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้
แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ (ฟีลิปปี 2:5-7 มตฐ.) นั่นหมายความว่าพระคริสต์มาในโลกนี้เพื่อที่จะให้ชีวิต
เพราะเห็นคุณค่าในชีวิตของมนุษย์
8. พระคริสต์ให้สาวกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในการทำพันธกิจ
“ไม่ต้องพกเงิน
ทอง หรือทองแดงไว้ในเข็มขัด ไม่ต้องเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัวหนึ่ง หรือรองเท้า
หรือไม้เท้าไปในการเดินทาง...” (มัทธิว 19:9-10 อมธ.) ในการทำพันธกิจไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงความพร้อมทางเงินทอง
วัตถุ อุปกรณ์ เพราะพันธกิจที่สาวกกระทำนั้นเป็นการทำงานร่วมในพระราชกิจของพระเจ้า
พระองค์จะจัดเตรียมสิ่งจำเป็นในการทำพันธกิจ
9. พระคริสต์ไม่แบ่งแยก
เหยียดเชื้อชาติ และ เพศ
เมื่อหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ
พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยได้ไหม?” (สาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง)
หญิงชาวสะมาเรียทูลว่า “ท่านเป็นยิว ส่วนดิฉันเป็นหญิงชาวสะมาเรีย
ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้อย่างไร?” (เพราะชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย)
(ยอห์น 4:7-9 อมธ.) สำหรับพระคริสต์แล้ว พระองค์อยู่เหนือวัฒนธรรม
และ อคติทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และสาวกของพระองค์ไม่ควรที่จะตกใต้กรอบอำนาจทางวัฒนธรรมและอคติที่ส่งทอดกันมา
10. พระคริสต์มาเพื่อรับใช้และให้ชีวิตแก่ผู้คนเป็นอันมาก
“เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ
แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มาระโก
10:45 มตฐ.) และเมื่อพระคริสต์ทรงเรียกเราให้มาเป็นสาวกของพระองค์ พระองค์ก็ทรงเรียกเราให้มารับใช้คนทั้งหลาย
และ ให้ชีวิตแก่คนทั้งหลายเพื่อทำพันธกิจสานต่อพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น