08 สิงหาคม 2554

คำเทศนาที่เนินเขา: คำสอนที่ขัดแย้งกับความคาดหวัง

3“บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4“บุคคลผู้ใดโศกเศร้าผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5“บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยนผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6“บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7“บุคคลผู้ใดมีใจกรุณาผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9“บุคคลผู้ใดสร้างสันติผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10“บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
..........
44ฝ่ายเราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน 45ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
(มัทธิว บทที่ 5)

ฝูงชนที่มาฟังคำเทศนาสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ที่เนินเขาไม่คาดคิดล่วงหน้าเลยว่าตนจะได้ยินได้ฟังคำสอนแบบนี้ ซึ่งเราท่านต่างรู้ถึงเนื้อหาคำสอนของพระองค์ที่เนินเขาในครั้งนั้น ประชาชนที่มาฟังในครั้งนั้นต่างออกจากที่นั่นด้วยความประหลาดใจ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกประหลาดใจคือเป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับความคาดหวังของพวกเขา

ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมได้กล่าวถึงพระเมสิยาห์ที่จะเสด็จมาว่า พระองค์เป็นเชื้อสายของดาวิด เป็นผู้ที่เกิดจากหญิงพรหมจารี ทรงเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ อย่างไรก็ตามเราพบว่า คนที่เป็นครูสอนของอิสราเอลในอดีตได้บิดเบือนคำพยากรณ์ให้มีความหมายเอนเอียงไปตามความคิดเห็นของตนเอง หลายคนจึงไม่รู้จักพระเมสิยาห์(ที่ทรงสัญญา)เมื่อพระองค์เสด็จมา แต่พวกเขากลับเข้าใจผิดถึงพระราชกิจและพระเจตนาของพระองค์ เนื่องจากมีการบิดเบือนพระสัญญาของพระเจ้า ดังนั้น ประชาชนก็เกิดความเข้าใจผิด แต่เมื่อพระเยซูสอนความจริง สิ่งที่ทรงสอนจึงผิดคาดและแตกต่างไปจากที่พวกเราได้รับการสอนมาก่อน แตกต่างจากที่พวกเขาคาดหวัง จนพระเยซูทรงกล่าวยืนยันกับพวกเขาว่า 49เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาพระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา 50เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา” (ยอห์น 11:49-50)

เมื่อพระเยซูคริสต์สั่งสอนฝูงชน พระองค์ต้องจัดการเกี่ยวกับความคิดความเข้าใจที่ผิดๆ ของประชาชน ประชาชนยิวในเวลานั้นคาดหวังว่าพระเมสิยาห์จะเป็นผู้นำทางการเมืองที่จะนำพวกเขาให้หลุดรอดออกจากแอกแห่งการยึดครองของโรมัน แต่มิใช่การหลุดพ้นจากการตกเป็นทาสของความบาปอย่างที่เราเข้าใจ พวกเขาคาดหวังผู้นำที่มีจิตใจเมตตาต่อคนยิวและคนต่างชาติที่กลับใจมาเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น และพวกเขาสั่งสอนกันว่า การที่ได้เป็นเชื้อสายของอับราฮัมก็เป็นการเพียงพอแล้วที่พระเมสิยาห์จะยอมรับพวกเขา

แต่พระเยซูคริสต์โจมตีความคิดความเข้าใจที่ผิดพลาดเหล่านี้ และสอนแปลกแตกต่างจากที่ประชาชนเข้าใจ แทนที่พระองค์จะปลุกระดมเพื่อโค่นล้มอำนาจของโรมัน แต่พระองค์กลับบอกว่าคนที่ได้รับความทุกข์ยากเข็ญใจว่าเป็นผู้ที่ได้รับพระพร แย่ยิ่งกว่านั้น พระองค์เรียกร้องให้คนที่ฟังคำสอนของพระองค์รักคนที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา คนที่ปกครองพวกเขา คนที่ด่าทอแช่งสาปพวกเขา พระองค์ยังทรงสอนว่า พระบิดามิได้มีพระทัยเมตตาต่อคนยิวและคนต่างชาติที่กลับใจเท่านั้น แต่พระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อทุกคน เหนือสิ่งอื่นใด พระเยซูบอกพวกเขาตรงๆ ว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเคยทำการอัศจรรย์ในพระนามของพระองค์ก็ตาม แต่คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเท่านั้นที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้

ในตอนท้ายของคำสอนที่เนินเขาของพระเยซู คนฟังรู้สึกงงงวยคละเคล้ากับความประหลาดใจ สิ่งที่พวกเขาเคยรับการสอน เข้าใจ และคาดหวังเกี่ยวกับเรื่องพระเมสิยาห์ กับสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังจากพระเยซูช่างแตกต่างห่างไกลกันไปคนละเรื่อง เกิดความรู้สึกแสบๆ คันในความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพระเมสิยาห์ที่ตนเข้าใจกับที่พระเยซูสอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น