18 สิงหาคม 2554

ฤาถึงเวลาต้องปฏิรูปการอภิบาลในคริสตจักร? ตอนที่ 2: ว่าด้วยเรื่องตำแหน่ง

ว่าด้วยเรื่องตำแหน่ง

ค่านิยมหนึ่งตามกระแสสังคมปัจจุบันที่เข้ามามีอิทธิพลในชุมชนคริสตจักรคือ การยกย่องคนที่มีตำแหน่ง หรือ ให้เกียรติกันด้วยตำแหน่งที่นำหน้าชื่อแก่ผู้ที่ทำงานในชุมชนคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง “ศาสนาจารย์” “ศิษยาภิบาล” “บิช็อป” “ศิษยาภิบาลอาวุโส” “ด๊อกเตอร์” “ศจ.ดร.” หรือแม้แต่ “ผป. หรือ มน.” ดูจะเป็นวิธีการที่แตกต่างตรงกันข้ามกับหลักการคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่สอนสาวกและประชาชนของพระองค์ พระคัมภีร์สอนว่าเราต่างเป็นพี่น้องกันไม่มีความจำเป็นจะต้องยกย่องหรือให้เกียรติกันด้วยตำแหน่งที่นำหน้าชื่อเลย

พระเยซูคริสต์วิพากษ์พวกฟาริสี และ ธรรมาจารย์ว่า เขาเป็นพวกที่ชอบทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่จะยกย่องและอวดตนเอง จากมัทธิว 23:6-12 ผู้นำศาสนายิวพวกนี้ชอบ “นั่งในที่นั่งอันมีเกียรติ...ชอบรับการเคารพกลางตลาด ชอบให้คนอื่นเรียกตนว่า “ท่านอาจารย์” พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่า “ท่านอาจารย์” เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน”(ข้อ 8) อย่าให้เกียรติใครในโลกนี้ว่าพระบิดา เพราะพวกท่านมีพระบิดาเพียงผู้เดียว...”(ข้อ 9) อย่าให้ใครเรียกท่านว่า “พระครู” เพราะว่าพระครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์ ...”(ข้อ 10) และพระเยซูสอนว่า คนที่ยอมถ่อมตัวลงต่างหากที่จะได้รับการยกขึ้น (ข้อ 12)

ในพระธรรม มาระโก 10:35-45 เมื่อสาวกของพระเยซูคริสต์คือยากอบกับยอห์น มาขอตำแหน่งซ้ายและขวาจากพระองค์ พระเยซูคริสต์ตอบว่า “พวกท่านไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านขอ...”(ข้อ 38-39) พระองค์ชี้ชัดว่า เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือการมีหน้ามีตาในสังคม ไม่ได้มาจากมนุษย์มอบชื่อเสียง หรือ ตำแหน่งให้กัน สำหรับในชุมชนผู้เชื่อแล้ว เกียรติยศ ชื่อเสียง เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงมอบให้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะยกย่องเอง (ข้อ 40) พระเยซูคริสต์ได้สอนยากอบและยอห์นไปพร้อมๆ กับสาวกคนอื่นที่กำลังโกรธเคืองสาวกทั้งสองที่หวังจะได้ตำแหน่งพิเศษกว่าพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า คนที่นับว่าเป็นผู้ครอบครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายอยู่เหนือเขาทั้งหลาย และพวกที่เป็นใหญ่ก็ใช้อำนาจบังคับพวกเขา ในพวกท่านจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามีใครต้องการจะเป็นใหญ่ท่ามกลางท่าน คนนั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติของท่านทั้งหลาย และถ้าใครต้องการจะเป็นนาย(ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า เป็นคนแรก) คนนั้นจะต้องเป็นทาสของคนทั้งหลาย เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก”. (ข้อ 42-45)

มิใช่เพียงตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียงที่ทำให้เกิดความขุ่นเคือง แตกแยก ในความเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์แล้ว บ่อยครั้ง คริสตจักรมักหลงลืมไปว่า การที่แต่ละท่านทำหน้าที่รับใช้ในพันธกิจต่างๆ ตามของประทานจากพระเจ้านั้น มิใช่เป็นตำแหน่ง แต่เป็นงานความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้กระทำ โดยมีเป้าหมายปลายทางในการสร้างเสริมสมาชิกแต่ละคนให้เติบโตขึ้น ดังปรากฏในเอเฟซัส 4:11-12 “และพระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์”

คงปฏิเสธได้ลำบากยากยิ่งว่า การที่เรากำหนดให้มีตำแหน่งที่ใส่ใช้นำหน้าชื่อผู้นำคริสตจักรนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองต่อตัณหาความต้องการภาคภูมิใจในตนเองลึกๆ ในขณะที่คริสตจักรกำลังถูกอิทธิพลกระแสนิยมของสังคมโลกเข้ามาครอบงำ พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กลับมีคำสอนถึงการให้เกียรติและการยกย่องผู้เชื่อในชุมชนคริสตจักรว่ามิได้มาจากการที่มีตำแหน่ง คำนำหน้า ที่บอกถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือ ได้รับการยกย่อง แต่เพราะการดำเนินชีวิตที่อุทิศชีวิตเพื่อพระนามของพระคริสต์... ทุ่มเทชีวิตในการประกาศข่าวประเสริฐ” (กิจการ 15:26) เปาโลขอให้สมาชิกคริสตจักรให้นอบน้อมต่อคนที่ถวายตัวในงานปรนนิบัติธรรมิกชน และทุกคนที่ร่วมทำงานตรากตรำ (1โครินธ์ 16:15-16) เพราะว่าพวกเขาทำให้จิตใจของข้าพเจ้าและของพวกท่านชื่นบาน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงยอมรับคนเช่นนี้ (ข้อ 18) ใน 2โครินธ์ 8:18 เปาโลกล่าวว่า เราส่งพี่น้องคนหนึ่งที่คริสตจักรทุกแห่งยกย่องในเรื่องการประกาศ ข่าวประเสริฐไปพร้อมกับเขาด้วย ยิ่งกว่านั้น ให้คริสตจักรยอมรับนับถือผู้ที่ทำงานของพระคริสต์อย่างที่ไม่เกรงกลัวจะเสียชีวิต “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเขาในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดียิ่ง และจงนับถือคนประเภทนี้ เพราะเขาเกือบจะตายเนื่องจากงานของพระคริสต์ เขาเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อการปรนนิบัติของพวกท่านที่ไม่อาจทำให้ข้าพเจ้าได้นั้น จะสำเร็จบริบูรณ์”(ฟิลิปปี 2:29-30) พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ สอนให้คริสตจักรให้เกียรติ นับถือและต้อนรับคนที่มุ่งปรนนิบัติรับใช้พระคริสต์ ที่จะช่วยให้ชีวิตของสมาชิกคริสตจักรมีจิตใจที่มั่นคง เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ และมั่นใจในพระพระประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้า (โคโลสี 1:1-7; 4:12-13)

เป็นที่เด่นชัดว่า คริสตจักรในสมัยเริ่มแรกในพระคัมภีร์ ปฏิเสธที่จะแสวงหาเกียรติด้วยคำนำหน้าชื่อ ตำแหน่ง หรือ ให้การยกย่องแก่ผู้ทำงานในคริสตจักรตามกระแสสังคมแบบกรีกและยิวในเวลานั้น แต่คริสตจักรเลือกที่จะยกย่อง นับถือ และให้เกียรติตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์คือ ยกย่อง ให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำงานรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตสมาชิกคริสตจักรด้วยความถ่อม จริงใจ และสัตย์ซื่อ และเรียกตนเองว่าเป็น “พี่น้อง” “คนรับใช้” “เพื่อนร่วมงาน” “เพื่อนร่วมแอก” เพื่อนร่วมพันธกิจ”

ปัจจุบันคงกล่าวได้เต็มปากว่า เพราะการที่คริสตจักรหลายแห่งยอมรับอิทธิพลของกระแสสังคมโลกทันสมัย ในการยกย่อง ให้เกียรติ ด้วยการให้ตำแหน่ง หรือ คำนำหน้าชื่อ ย่อมมีผลทำให้เกิดการแบ่งแยก การหลงออกไปทางแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จตามมาตรฐานแห่งโลกนี้ เป็นการตอบสนองตัวตนและความต้องการของผู้นำผู้บริหารคริสตจักร ทำให้การทำพันธกิจของผู้นำเหล่านี้หลงหายไปจากเส้นทางแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตชุมชนคริสตจักร

เปาโลได้เป็นตัวอย่างที่ดี ท่านยกย่องให้เกียรติแก่คนที่ทุ่มเทเพื่อพันธกิจของพระเจ้า ท่านยกย่องคนที่ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อเพราะเห็นแก่สมาชิกคริสตจักร เพียรพยายามอธิษฐานเผื่อผู้ที่เชื่อให้เป็นผู้ใหญ่ มีความมั่นใจ และมั่นคงในพระประสงค์ของพระเจ้า (โคโลสี 1:7; 4:12-13)

เปาโล ได้เตือนบรรดาคนทำงานในคริสตจักรที่หลงระเริงไปกับกระแสสังคมทันสมัยในปัจจุบันนี้ว่า เราเป็นคนใช้ของพระคริสต์ ที่จะต้องรับผิดชอบต่อพระประสงค์ของพระเจ้า (1โครินธ์ 4:1) และเปาโลได้เตือนสติผู้ที่ทำงานรับใช้พระเจ้าว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” (2โครินธ์ 4:5)

ในจดหมายที่เขียนไปถึงคริสตจักรของอัครทูตเปโตร ท่านเรียกตนเองว่า ท่านเป็นคนหนึ่งในกลุ่มผู้อาวุโสในคริสตจักร แทนที่จะเรียกตนเองที่มีฐานะน่ายกย่องแตกต่างออกไป “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้อาวุโสในพวกท่าน ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นทั้งผู้อาวุโส และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และเป็นหุ้นส่วนที่จะรับศักดิ์ศรีที่กำลังจะปรากฏ” (1เปโตร 5:1) ท่านอัครทูตยอห์น เขียนจดหมายถึงบรรดาคริสตจักรทั้งเจ็ด ท่านเรียกตนเองว่า “พี่น้องของท่านทั้งหลาย ผู้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากลำบาก” (วิวรณ์ 1:9)

น่าสังเกตว่า ผู้นำคริสตจักรในพระคัมภีร์ในยุคคริสตจักรสมัยเริ่มแรก ไม่ด่วนกระโดดลงไปสร้างความน่ายกย่อง นับถือ และมีเกียรติ อย่างกระแสสังคมยิวและกรีกที่ครอบงำผู้คนในเวลานั้น พวกท่านเหล่านั้นทำงานตรากตรำ ทุ่มเท อุทิศเสียสละชีวิต สัตย์ซื่อ ไร้เป้าหมายซ่อนเร้น เป้าหมายปลายทางคือพระประสงค์ของพระเจ้า และมีท่าทีการดำเนินชีวิตแบบพระคริสต์ มุ่งมั่นมุ่งหน้าไปด้วยพระกำลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ต้องพึ่งชื่อตำแหน่งนำหน้าว่า “ศจ. ดร....” “ศาสนาจารย์” “ศิษยาภิบาล” “บิชอบ” “ผป. หรือ มน.”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง
The Urgent Need For Reformation in Pastoral Ministry ของ Darryl M. Erkel

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น