ค่านิยมหนึ่งตามกระแสสังคมปัจจุบันที่เข้ามามีอิทธิพลในชุมชนคริสตจักรคือ การยกย่องคนที่มีตำแหน่ง หรือ ให้เกียรติกันด้วยตำแหน่งที่นำหน้าชื่อแก่ผู้ที่ทำงานในชุมชนคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง “ศาสนาจารย์” “ศิษยาภิบาล” “บิช็อป” “ศิษยาภิบาลอาวุโส” “ด๊อกเตอร์” “ศจ.ดร.” หรือแม้แต่ “ผป. หรือ มน.” ดูจะเป็นวิธีการที่แตกต่างตรงกันข้ามกับหลักการคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่สอนสาวกและประชาชนของพระองค์ พระคัมภีร์สอนว่าเราต่างเป็นพี่น้องกันไม่มีความจำเป็นจะต้องยกย่องหรือให้เกียรติกันด้วยตำแหน่งที่นำหน้าชื่อเลย
พระเยซูคริสต์วิพากษ์พวกฟาริสี และ ธรรมาจารย์ว่า เขาเป็นพวกที่ชอบทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่จะยกย่องและอวดตนเอง จากมัทธิว 23:6-12 ผู้นำศาสนายิวพวกนี้ชอบ “นั่งในที่นั่งอันมีเกียรติ...ชอบรับการเคารพกลางตลาด ชอบให้คนอื่นเรียกตนว่า “ท่านอาจารย์” พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่า “ท่านอาจารย์” เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน”(ข้อ 8) อย่าให้เกียรติใครในโลกนี้ว่าพระบิดา เพราะพวกท่านมีพระบิดาเพียงผู้เดียว...”(ข้อ 9) อย่าให้ใครเรียกท่านว่า “พระครู” เพราะว่าพระครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์ ...”(ข้อ 10) และพระเยซูสอนว่า คนที่ยอมถ่อมตัวลงต่างหากที่จะได้รับการยกขึ้น (ข้อ 12)
ในพระธรรม มาระโก 10:35-45 เมื่อสาวกของพระเยซูคริสต์คือยากอบกับยอห์น มาขอตำแหน่งซ้ายและขวาจากพระองค์ พระเยซูคริสต์ตอบว่า “พวกท่านไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านขอ...”(ข้อ 38-39) พระองค์ชี้ชัดว่า เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือการมีหน้ามีตาในสังคม ไม่ได้มาจากมนุษย์มอบชื่อเสียง หรือ ตำแหน่งให้กัน สำหรับในชุมชนผู้เชื่อแล้ว เกียรติยศ ชื่อเสียง เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงมอบให้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะยกย่องเอง (ข้อ 40) พระเยซูคริสต์ได้สอนยากอบและยอห์นไปพร้อมๆ กับสาวกคนอื่นที่กำลังโกรธเคืองสาวกทั้งสองที่หวังจะได้ตำแหน่งพิเศษกว่าพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า คนที่นับว่าเป็นผู้ครอบครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายอยู่เหนือเขาทั้งหลาย และพวกที่เป็นใหญ่ก็ใช้อำนาจบังคับพวกเขา ในพวกท่านจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามีใครต้องการจะเป็นใหญ่ท่ามกลางท่าน คนนั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติของท่านทั้งหลาย และถ้าใครต้องการจะเป็นนาย(ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า เป็นคนแรก) คนนั้นจะต้องเป็นทาสของคนทั้งหลาย เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก”. (ข้อ 42-45)
มิใช่เพียงตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียงที่ทำให้เกิดความขุ่นเคือง แตกแยก ในความเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์แล้ว บ่อยครั้ง คริสตจักรมักหลงลืมไปว่า การที่แต่ละท่านทำหน้าที่รับใช้ในพันธกิจต่างๆ ตามของประทานจากพระเจ้านั้น มิใช่เป็นตำแหน่ง แต่เป็นงานความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้กระทำ โดยมีเป้าหมายปลายทางในการสร้างเสริมสมาชิกแต่ละคนให้เติบโตขึ้น ดังปรากฏในเอเฟซัส 4:11-12 “และพระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์”
คงปฏิเสธได้ลำบากยากยิ่งว่า การที่เรากำหนดให้มีตำแหน่งที่ใส่ใช้นำหน้าชื่อผู้นำคริสตจักรนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองต่อตัณหาความต้องการภาคภูมิใจในตนเองลึกๆ ในขณะที่คริสตจักรกำลังถูกอิทธิพลกระแสนิยมของสังคมโลกเข้ามาครอบงำ พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กลับมีคำสอนถึงการให้เกียรติและการยกย่องผู้เชื่อในชุมชนคริสตจักรว่ามิได้มาจากการที่มีตำแหน่ง คำนำหน้า ที่บอกถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือ ได้รับการยกย่อง แต่เพราะการดำเนินชีวิตที่อุทิศชีวิตเพื่อพระนามของพระคริสต์... ทุ่มเทชีวิตในการประกาศข่าวประเสริฐ” (กิจการ 15:26) เปาโลขอให้สมาชิกคริสตจักรให้นอบน้อมต่อคนที่ถวายตัวในงานปรนนิบัติธรรมิกชน และทุกคนที่ร่วมทำงานตรากตรำ (1โครินธ์ 16:15-16) เพราะว่าพวกเขาทำให้จิตใจของข้าพเจ้าและของพวกท่านชื่นบาน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงยอมรับคนเช่นนี้ (ข้อ 18) ใน 2โครินธ์ 8:18 เปาโลกล่าวว่า เราส่งพี่น้องคนหนึ่งที่คริสตจักรทุกแห่งยกย่องในเรื่องการประกาศ ข่าวประเสริฐไปพร้อมกับเขาด้วย ยิ่งกว่านั้น ให้คริสตจักรยอมรับนับถือผู้ที่ทำงานของพระคริสต์อย่างที่ไม่เกรงกลัวจะเสียชีวิต “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเขาในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดียิ่ง และจงนับถือคนประเภทนี้ เพราะเขาเกือบจะตายเนื่องจากงานของพระคริสต์ เขาเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อการปรนนิบัติของพวกท่านที่ไม่อาจทำให้ข้าพเจ้าได้นั้น จะสำเร็จบริบูรณ์”(ฟิลิปปี 2:29-30) พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ สอนให้คริสตจักรให้เกียรติ นับถือและต้อนรับคนที่มุ่งปรนนิบัติรับใช้พระคริสต์ ที่จะช่วยให้ชีวิตของสมาชิกคริสตจักรมีจิตใจที่มั่นคง เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ และมั่นใจในพระพระประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้า (โคโลสี 1:1-7; 4:12-13)
เป็นที่เด่นชัดว่า คริสตจักรในสมัยเริ่มแรกในพระคัมภีร์ ปฏิเสธที่จะแสวงหาเกียรติด้วยคำนำหน้าชื่อ ตำแหน่ง หรือ ให้การยกย่องแก่ผู้ทำงานในคริสตจักรตามกระแสสังคมแบบกรีกและยิวในเวลานั้น แต่คริสตจักรเลือกที่จะยกย่อง นับถือ และให้เกียรติตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์คือ ยกย่อง ให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำงานรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตสมาชิกคริสตจักรด้วยความถ่อม จริงใจ และสัตย์ซื่อ และเรียกตนเองว่าเป็น “พี่น้อง” “คนรับใช้” “เพื่อนร่วมงาน” “เพื่อนร่วมแอก” เพื่อนร่วมพันธกิจ”
ปัจจุบันคงกล่าวได้เต็มปากว่า เพราะการที่คริสตจักรหลายแห่งยอมรับอิทธิพลของกระแสสังคมโลกทันสมัย ในการยกย่อง ให้เกียรติ ด้วยการให้ตำแหน่ง หรือ คำนำหน้าชื่อ ย่อมมีผลทำให้เกิดการแบ่งแยก การหลงออกไปทางแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จตามมาตรฐานแห่งโลกนี้ เป็นการตอบสนองตัวตนและความต้องการของผู้นำผู้บริหารคริสตจักร ทำให้การทำพันธกิจของผู้นำเหล่านี้หลงหายไปจากเส้นทางแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตชุมชนคริสตจักร
เปาโลได้เป็นตัวอย่างที่ดี ท่านยกย่องให้เกียรติแก่คนที่ทุ่มเทเพื่อพันธกิจของพระเจ้า ท่านยกย่องคนที่ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อเพราะเห็นแก่สมาชิกคริสตจักร เพียรพยายามอธิษฐานเผื่อผู้ที่เชื่อให้เป็นผู้ใหญ่ มีความมั่นใจ และมั่นคงในพระประสงค์ของพระเจ้า (โคโลสี 1:7; 4:12-13)
เปาโล ได้เตือนบรรดาคนทำงานในคริสตจักรที่หลงระเริงไปกับกระแสสังคมทันสมัยในปัจจุบันนี้ว่า เราเป็นคนใช้ของพระคริสต์ ที่จะต้องรับผิดชอบต่อพระประสงค์ของพระเจ้า (1โครินธ์ 4:1) และเปาโลได้เตือนสติผู้ที่ทำงานรับใช้พระเจ้าว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” (2โครินธ์ 4:5)
ในจดหมายที่เขียนไปถึงคริสตจักรของอัครทูตเปโตร ท่านเรียกตนเองว่า ท่านเป็นคนหนึ่งในกลุ่มผู้อาวุโสในคริสตจักร แทนที่จะเรียกตนเองที่มีฐานะน่ายกย่องแตกต่างออกไป “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้อาวุโสในพวกท่าน ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นทั้งผู้อาวุโส และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และเป็นหุ้นส่วนที่จะรับศักดิ์ศรีที่กำลังจะปรากฏ” (1เปโตร 5:1) ท่านอัครทูตยอห์น เขียนจดหมายถึงบรรดาคริสตจักรทั้งเจ็ด ท่านเรียกตนเองว่า “พี่น้องของท่านทั้งหลาย ผู้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากลำบาก” (วิวรณ์ 1:9)
น่าสังเกตว่า ผู้นำคริสตจักรในพระคัมภีร์ในยุคคริสตจักรสมัยเริ่มแรก ไม่ด่วนกระโดดลงไปสร้างความน่ายกย่อง นับถือ และมีเกียรติ อย่างกระแสสังคมยิวและกรีกที่ครอบงำผู้คนในเวลานั้น พวกท่านเหล่านั้นทำงานตรากตรำ ทุ่มเท อุทิศเสียสละชีวิต สัตย์ซื่อ ไร้เป้าหมายซ่อนเร้น เป้าหมายปลายทางคือพระประสงค์ของพระเจ้า และมีท่าทีการดำเนินชีวิตแบบพระคริสต์ มุ่งมั่นมุ่งหน้าไปด้วยพระกำลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ต้องพึ่งชื่อตำแหน่งนำหน้าว่า “ศจ. ดร....” “ศาสนาจารย์” “ศิษยาภิบาล” “บิชอบ” “ผป. หรือ มน.”
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง
The Urgent Need For Reformation in Pastoral Ministry ของ Darryl M. Erkel
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง
The Urgent Need For Reformation in Pastoral Ministry ของ Darryl M. Erkel
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น