23 สิงหาคม 2554

ฤาถึงเวลาต้องปฏิรูปการอภิบาลในคริสตจักร?: ตอนที่ 3: ผู้อภิบาลมืออาชีพ

ผู้อภิบาลมืออาชีพ

งานการอภิบาลในคริสตจักรปัจจุบันขาดด้อยในการมุ่งเน้นด้านการฟูมฟักและเสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนใช้ของประทานในงานพันธกิจด้านต่างๆ ของคริสตจักร เราพบว่าศิษยาภิบาลในยุคนี้หนุนเสริมสมาชิกเพียงไม่กี่คนให้เข้ามามีส่วนร่วมการทำพันธกิจในคริสตจักร และเป็นการให้คนเหล่านั้นมีส่วนร่วมพันธกิจเพียงระดับที่จำกัด

ศิษยาภิบาลมักคิดและเข้าใจว่าส่วนสำคัญยิ่งในการอภิบาลชีวิตสมาชิกในคริสตจักรคือการเทศนาในวันอาทิตย์ และให้การนมัสการคือแกนกลางหนึ่งเดียวของพันธกิจในคริสตจักร ซึ่งถ้าเราพิจารณาจากพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่เราพบว่า ในการพบปะกันของสมาชิกในคริสตจักรท้องถิ่นคือเวทีและโอกาสที่คริสเตียนแต่ละคนได้มีโอกาสใช้ของประทานที่มีอยู่ในตนเองในการหนุนเสริมชีวิตคริสเตียนกันและกันด้วยความรักและด้วยการกระทำ

6และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ 7ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน 8ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตาก็จงแสดงด้วยใจยินดี” (โรม 12:6-8)

ใน 1โครินธ์ 12 เปาโลได้ชี้ชัดว่า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ได้ประทานของประทานให้ผู้เชื่อแต่ละคนที่แตกต่างหลากหลายไม่เหมือนกัน เช่นบางคนได้รับของประทานให้มีถ้อยคำที่ประกอบด้วยสติปัญญา, บางคนมีคำพูดที่ให้ความรู้, บางคนสามารถเผยพระวจนะ, อีกหลายคนที่มีความเชื่อที่แข็งแรง, บางคนมีความสามารถในการรักษาโรค, บ้างได้รับของประทานในการกระทำการอัศจรรย์, ส่วนบางคนพูดภาษาแปลกๆ ได้, อีกคนแปลภาษาแปลกๆ ได้ และ ฯลฯ แม้ว่าแต่ละคนจะมีของประทานที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป แต่พระวิญญาณองค์เดียวกันเป็นผู้ประทานตามชอบพระทัยของพระองค์ เพื่อใช้ของประทานเหล่านั้นในการสร้างประโยชน์แก่กันและกัน (ข้อ 4-12) และใช้ของประทานเพื่อทำให้คริสตจักรแข็งแรงขึ้น (1โครินธ์ 14:12) เพื่อให้พี่น้องในคริสตจักรเจริญขึ้น (ข้อ 26) ปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี และหนุนใจกันและกัน (ฮีบรู 10:24-25) ใช้ของประทานของพระเจ้าอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อสำแดงพระคุณของพระเจ้า เป็นประโยชน์แก่กันและกัน เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติจากการงานที่เราทำ (1เปโตร 4:10-11)

อย่างไรก็ตาม ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่มิได้มีความเข้าใจสัจจะในประการนี้อย่างเต็มที่ ปล่อยให้สมาชิกดำเนินหรือทำตามความเข้าใจของตนเอง ดังนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ที่มาร่วมในการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักรจึงทำตนเป็นเพียง “ผู้ชม” “ผู้ฟัง” “ผู้สังเกตการณ์” เท่านั้น และปล่อยให้คนเพียง 2-3 คน ทำงานทุกอย่าง แทนที่ทุกคนควรเข้ามามีส่วนร่วมในพันธกิจทั้งหลาย

มีคำถามที่เราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสตจักรต้องตอบคือ มีพระคัมภีร์ตอนไหนหรือที่บอกเราว่า ให้มอบภาระความรับผิดชอบการบ่มเพาะ เลี้ยงดู ฟูมฟักชีวิตของผู้เชื่อในคริสตจักรให้คนใดคนหนึ่ง หรือ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งรับผิดชอบ หรือเป็นความรับผิดชอบของพวก “ผู้อภิบาลมืออาชีพ” โดยเฉพาะ แทนที่จะอภิบาลเลี้ยงดูฟูมฟักซึ่งกันและกัน?

ทำไมคริสเตียนจำนวนมากมายที่เข้ามาร่วมในคริสตจักรยาวนานเป็นปีๆ แต่กลับไม่รู้เรื่องความเชื่อศรัทธาและชีวิตคริสเตียน(ไม่รู้ถึงแก่นแท้แห่งความเชื่อของคริสเตียน)เลย? และ

ทำไมคริสเตียนจำนวนมากไม่รู้เลยว่าตนมีของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอะไรบ้าง จึงไม่รู้ว่าตนเองจะต้องมีบทบาทความรับผิดชอบในส่วนไหนของชีวิตคริสตจักร?

ศิษยาภิบาลในยุคทันสมัยนี้ได้เสริมหนุนให้เกิดสมาชิกที่สามารถขับเคลื่อนในหน้าที่การงานคริสตจักรด้วยความรับผิดชอบ หรือ สามารถสร้างเพียงสมาชิกคริสตจักร “ไม้ประดับ” นั่งบนเก้าอี้ในวันอาทิตย์(ให้เต็ม)ที่ไม่ต้องรับผิดชอบพันธกิจใดๆ ในคริสตจักร?

ตามความจริงแล้ว ศิษยาภิบาลจะต้อง เลี้ยงดู ฟูมฟัก บ่มเพาะให้สมาชิกแต่ละคนเป็นคนที่พระเจ้าจะทรงใช้ได้ เพื่อศิษยาภิบาลจะได้มอบหมายส่งทอดบทบาทความรับผิดชอบที่ตนได้รับจากพระเจ้าไปยังสมาชิกแต่ละคนตามของประทานที่แต่ละคนได้รับจากพระเจ้า เพื่อสมาชิกแต่ละคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในพันธกิจต่างๆ ในคริสตจักร เพื่อแต่ละคนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะจำเริญขึ้นสู่พระคริสต์ผู้เป็นศีรษะของคริสตจักร และทำงานประสานต่อติดสนิทเป็นร่างกายเดียวกันในพระคริสต์ด้วยความรัก (เอเฟซัส 4:11-16)

ศิษยาภิบาลคือผู้ที่ต้องดูแลจิตวิญญาณของสมาชิกให้เจริญเติบโตขึ้น และเป็นผู้ที่จะต้องรายงานต่อพระเจ้าในพันธกิจการอภิบาลฟูมฟักที่ตนเองได้รับมอบหมายจากพระองค์ (ฮีบรู 13:17) แล้วศิษยาภิบาลในยุคทันสมัยจะรายงานกับพระเจ้าอย่างไรในพันธกิจการอภิบาลสมาชิกผู้เชื่อที่ไม่เกิดผลในชีวิต มีแต่สมาชิก “ทารก” หรือ สมาชิก “เฒ่าทารก” ที่มีเต็มเกลื่อนคริสตจักร เป็นคริสเตียนที่ “นิ่งเฉย” ไม่ทำอะไร นอกจากนั่งอย่างนิ่งสุภาพ สงบเสงี่ยม ในการนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ มีบ้างที่จดบันทึกคำเทศนาของศิษยาภิบาล หรือ ช่วยผ่านถุงถวายทรัพย์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่ สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง The Urgent Need For Reformation in Pastoral Ministry
ของ Darryl M. Erkel

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น