“ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน
ท่านจะน่าสรรเสริญที่ตรงไหน?
แม้แต่ ‘คนบาป’ ก็รักคนที่รักเขา...”
(ลูกา 6:32 อมต.)
เมื่อ 2
สัปดาห์ก่อนเรามีโอกาสคิดใคร่ครวญถึงความรักที่ไร้เงื่อนไข เป็นเรื่อง “ยากส์” สำหรับมนุษย์ถ้วนหน้า เพราะเราพบว่า
การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะรักแบบไร้เงื่อนไขเฉกเช่นที่สำแดงเป็นรูปธรรมผ่านชีวิตของพระคริสต์นั้นมีสองประการสำคัญคือ ประการแรก
การที่จะรักแบบไร้เงื่อนไข เราต้องเปลี่ยนที่จะรักคน ๆ นั้นจากหลักการเหตุผล หรือการที่เรามีคน ๆ นั้นใน “สมอง”
ในความคิดของเรา ไปสู่การที่เรามีคน ๆ นั้นใน
“หัวใจ” หรือ จิตใจของเรา กล่าวคือรักคน ๆ
นั้นด้วยจิตใจของเรา เราจึงไม่ต้องใช้ตรรกะว่า
เขาดีพอที่เราจะรัก หรือ เขาสมควรที่เราจะรักหรือไม่ แต่รักด้วยหัวใจคือการที่เราห่วงหาอาทรคน ๆ นั้น พยายามทุกหนทางที่จะเข้าใจตามที่เขาเป็นเช่นนั้น ที่เขาแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น และเขาจะเป็นอย่างไรเราก็จะรักเขา นั่นเป็นความรักที่ไร้เงื่อนไข
การที่เราจะมีความรักเมตตาอย่างไร้เงื่อนไขของพระคริสต์ มิใช่สิ่งที่คริสตชนจะเลือกว่า “จะรัก หรือ
จะไม่รัก” ดังใน ลูกา 6:32 และ 36 ที่ว่า “ถ้าพวกท่านรักเฉพาะคนที่รักท่าน
ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านด้วยหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังรักเฉพาะคนที่รักเขาเหมือนกัน...
พวกท่านจงมีใจเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา”
(มตฐ.)
การรักอย่างไร้เงื่อนไขเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตที่พระคริสต์คาดหวังจากคริสตชนทุกคนที่จะรักอย่างที่พระองค์ทรงรัก
และพระคริสต์มาสำแดงความรักที่ไร้เงื่อนไขนี้
ก็เพื่อสำแดงให้มวลมนุษย์ได้เห็นและสัมผัสถึงความรักของพระบิดา ดังนั้น
การรักอย่างไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์จึงเป็นพระบัญชาให้คริสตชนทุกคนให้มีชีวิตเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ ให้คริสตชนทุกคนสานต่อความรักที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์ และ นี่คือ “หัวใจ และ พลัง” ที่คริสตชนทุกคนใช้ขับเคลื่อนในการ
“นำคนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์”
ปราศจากพลังแห่งความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์
ก็ไม่สามารถที่จะนำคนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์ อย่างที่เราเห็นตำตาในปัจจุบันว่า แม้ประเทศนั้น ๆ จะเป็นประเทศคริสตชน เป็นประเทศมหาอำนาจ มีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ มีประชาชนที่ชาญฉลาด มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย... แต่ก็พบว่าเขาไม่สามารถที่จะ
“นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์” ทั้งนี้เพราะเขาไม่มี
“พลังความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์”
และขอพูดให้ชัดลงไปเลยว่า
“เงินถวายเท่านั้น ไม่เคยนำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์... แต่การที่คริสตชนแต่ละคนมีหัวใจที่มีพลังรักอย่างไร้เงื่อนไขของพระคริสต์ต่างหาก
ที่เป็นพลังหลักที่นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์” ได้
ทำอย่างไรที่คริสตชน
สมาชิกคริสตจักรในประเทศไทยจะมีความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์ในชีวิตของแต่ละคนได้? นี่คือบทบาท และ ความรับผิดชอบหลักของคริสตจักรท้องถิ่นไทยแต่ละแห่งต้องทำถ้าคิดจะสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในประเทศนี้ ในทางกลับกันถ้าคริสตจักรไทยแต่ละแห่งไม่สอน
และ สร้างให้สมาชิกแต่ละคนของตนให้มีพลังความรักที่ไร้เงื่อนในชีวิตของเขาแล้ว คริสตจักรไทยก็ไม่สามารถที่จะทำพระมหาบัญชาที่ให้สานต่อพระราชกิจของพระองค์ได้เลย
คริสตชนที่ไม่เคยสัมผัสกับความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์
ก็จะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักที่ไร้เงื่อนไขนี้
และถ้าคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์นี้ก็จะไม่มีสำนึกในพระคุณความรักของพระคริสต์ที่มีในชีวิตของเขา เมื่อไม่มีสำนึกเช่นนี้แล้วเขาจะรักคนอื่นอย่างไร้เงื่อนแบบพระคริสต์ได้อย่างไร?
แล้วพระคริสต์จะส่งสมาชิกคริสตจักรที่ไม่มีความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระองค์เข้าไปในสังคมชุมชนเพื่อสานต่อพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไร?
ที่สำคัญคือ ที่เราออกไปประกาศพระกิตติคุณโดยไม่มีประสบการณ์
และ สำนึกในพระคุณของพระเจ้า
แล้วเขาจะรักคนที่เขาไปประกาศพระกิตติคุณอย่างไร้เงื่อนไขได้อย่างไร?
และการประกาศพระกิตติคุณโดยปราศจากความรักที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์จะเกิดผลเช่นไรกันแน่?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น