เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้
เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง
แต่ละวันก็มีความเดือดร้อน
(เรื่องวิตกกังวล) ของมันพออยู่แล้ว (มัทธิว 6:34
อมต.)
“แต่ละวันก็มี...พออยู่แล้ว” ใช่ครับแต่ละวันเราท่านต่างมีความวิตกกังวลมากพออยู่แล้ว!
แล้วในฐานะคริสตชนเราจะรับมือกับ
“ความวิตกกังวล” ในชีวิตอย่างไร?
ความวิตกกังวลในชีวิตมักเป็นอาการเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี และการที่เราจะสามารถมีความคิด อารมณ์อยู่เหนือความวิตกกังวล หรือ
การที่เราจะไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของการวิตกกังวลนั้นคือ การที่คริสตชนยอมจำนนต่อพระเจ้า เพราะบนรากฐานความเชื่อวางใจพระเจ้าว่า พระองค์ทรงมีแผนการจัดการกับสิ่งที่เราไม่สามารถจัดการและควบคุมได้ พระเจ้าทรงต่อสู้เพื่อคนที่ยอมจำนนด้วยเชื่อและวางสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ในการจัดการของพระองค์
(เนหะมีย์ 4:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 3:22; อพยพ 14:14)
สิ่งหนึ่งที่คริสตชนจะต้องสนใจในพระธรรมนี้
(มัทธิว 6:34) คือ
พระธรรมข้อนี้เป็นพระบัญชาของพระคริสต์ เป็นประโยคคำสั่งที่พระองค์ตรัส เป็นคำตรัสสั่งจากพระโอษฐ์ของพระองค์
เพราะพระองค์ตระหนักรู้ว่า การที่เราจะไปวิตกกังวลทั้งเรื่องในวันนี้และในอนาคตไม่ใช่สิ่งดีมีประโยชน์อะไร
เพราะสิ่งที่เราวิตกกังวลคือสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมจัดการได้ด้วยความสามารถของเราเอง
ก่อนที่พระคริสต์จะบัญชาเราเรื่องการวิตกกังวล พระองค์ให้มุมมองแก่คริสตชน หรือ
มุมมองจากพระกิตติคุณว่า
ชีวิตของเรามีคุณค่ามากกว่า เรื่องกินเรื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และรวมไปถึงการงาน อาชีพ
ฐานะ ตำแหน่ง ความเด่นดัง การยอมรับยกย่องจากคนอื่น... แต่สิ่งที่คริสตชนควรแสวงหาคือให้ชีวิตของเราอยู่ภายใต้การปกป้องครอบครองดูแลของพระเจ้า(แผ่นดินของพระเจ้า) และการไว้วางใจในพระองค์ก่อน (6:33)
ขอตั้งข้อสังเกตว่า มัทธิวบทที่ 6 เริ่มต้นด้วย เรื่องคริสตชนควรมีท่าทีอย่างไรในการช่วยเหลือคนอื่น
(6:1-4)
และพระคริสต์วางแบบอย่างในการอธิษฐาน
ที่สำคัญคือการอธิษฐานมิใช่ศาสนพิธี
หรือทำเป็นพิธีรีตอง
แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ในชีวิตของตนกับองค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่เรื่องที่จะทำอวดคนอื่น สร้างความสำคัญโดดเด่นแก่ตนเอง (6:5-15) และการอดอาหารก็เช่นกัน ให้กระทำในที่ลับลี้
(6:16-18) จากนั้น
พระองค์พูดถึงเรื่องคนที่พยายามสะสมเงินทองสมบัติเพื่อตนเอง แต่ได้รับความสูญเปล่า
(6:19-24)
ในที่สุด พระองค์ขมวดลงว่า
คนเรามักวิตกกังวลหลายสิ่งในชีวิตที่ตนเองไม่สามารถเข้าควบคุมได้ (6:25-34) แต่พระองค์ได้วางแบบอย่างว่า ชีวิตคริสตชนควรจะเป็นอย่างไร คริสตชนควรช่วยคนอื่นอย่างไร ควรอธิษฐานขอการทรงช่วยเหลือเพื่อคนอื่นอย่างไร คริสตชนจะไม่พึ่งพิงทรัพย์สินเงินทองมรดกสมบัติว่าเป็นแหล่งความช่วยเหลือในชีวิต และในที่สุดพระคริสต์บัญชาคริสตชนว่า
ไม่ควรมีชีวิตด้วยการที่พยายามเข้าไปควบคุมทุกเรื่องด้วยตนเองแต่ยอมจำนนให้ชีวิตตนอยู่ภายใต้การปกป้อง
ดูแลของพระเจ้า ซึ่งพระองค์จะดูแลสิ่งจำเป็นต้องการต่าง
ๆ ในชีวิตของเราด้วย
ในชีวิตคริสตชน เราจะต้องไว้วางใจการปกป้อง ดูแล
และการใส่ใจของพระเจ้า
นั่นหมายความว่าเราต้องยอมจำนนชีวิตให้อยู่ใต้การปกครองของพระองค์ (อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า)
และไว้วางใจในแผนการแห่งพระคุณของพระเจ้า
ซึ่งหลาย ๆ เรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมจัดการได้ด้วยตัวเราเองก็จะอยู่ในการทรงจัดการตามแผนงานและพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา
เมื่อเกิดอาการวิตกกังวลขึ้นเมื่อใด นั่นเป็นอาการชี้วัดว่าเรากำลังขาดพร่องที่จะไว้วางใจในพระเจ้าใช่ไหม?
ในเวลาเช่นนั้นเราจะให้พระกิตติคุณของพระคริสต์ตอบโจทย์ชีวิตของเรา
หรือเราจะพยายามตอบโจทย์ชีวิตนั้นด้วยตัวเราเอง?
คริสตชนต้องเลือกครับ!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น