23 กันยายน 2558

พระกิตติคุณตอบโจทย์: ความกังวลในชีวิต

เพราะฉะนั้น  อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ 
เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง  
แต่ละวันก็มีความเดือดร้อน (เรื่องวิตกกังวล) ของมันพออยู่แล้ว (มัทธิว 6:34 อมต.)

“แต่ละวันก็มี...พออยู่แล้ว”  ใช่ครับแต่ละวันเราท่านต่างมีความวิตกกังวลมากพออยู่แล้ว!

แล้วในฐานะคริสตชนเราจะรับมือกับ “ความวิตกกังวล” ในชีวิตอย่างไร?   ความวิตกกังวลในชีวิตมักเป็นอาการเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี   และการที่เราจะสามารถมีความคิด อารมณ์อยู่เหนือความวิตกกังวล  หรือ  การที่เราจะไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของการวิตกกังวลนั้นคือ   การที่คริสตชนยอมจำนนต่อพระเจ้า   เพราะบนรากฐานความเชื่อวางใจพระเจ้าว่า  พระองค์ทรงมีแผนการจัดการกับสิ่งที่เราไม่สามารถจัดการและควบคุมได้   พระเจ้าทรงต่อสู้เพื่อคนที่ยอมจำนนด้วยเชื่อและวางสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ในการจัดการของพระองค์ (เนหะมีย์ 4:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 3:22; อพยพ 14:14)

สิ่งหนึ่งที่คริสตชนจะต้องสนใจในพระธรรมนี้ (มัทธิว 6:34) คือ   พระธรรมข้อนี้เป็นพระบัญชาของพระคริสต์ เป็นประโยคคำสั่งที่พระองค์ตรัส เป็นคำตรัสสั่งจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะพระองค์ตระหนักรู้ว่า การที่เราจะไปวิตกกังวลทั้งเรื่องในวันนี้และในอนาคตไม่ใช่สิ่งดีมีประโยชน์อะไร   เพราะสิ่งที่เราวิตกกังวลคือสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมจัดการได้ด้วยความสามารถของเราเอง

ก่อนที่พระคริสต์จะบัญชาเราเรื่องการวิตกกังวล   พระองค์ให้มุมมองแก่คริสตชน หรือ มุมมองจากพระกิตติคุณว่า  ชีวิตของเรามีคุณค่ามากกว่า เรื่องกินเรื่องดื่ม  เครื่องนุ่งห่ม และรวมไปถึงการงาน  อาชีพ  ฐานะ ตำแหน่ง  ความเด่นดัง  การยอมรับยกย่องจากคนอื่น... แต่สิ่งที่คริสตชนควรแสวงหาคือให้ชีวิตของเราอยู่ภายใต้การปกป้องครอบครองดูแลของพระเจ้า(แผ่นดินของพระเจ้า)  และการไว้วางใจในพระองค์ก่อน (6:33)

ขอตั้งข้อสังเกตว่า มัทธิวบทที่ 6 เริ่มต้นด้วย  เรื่องคริสตชนควรมีท่าทีอย่างไรในการช่วยเหลือคนอื่น (6:1-4)  และพระคริสต์วางแบบอย่างในการอธิษฐาน   ที่สำคัญคือการอธิษฐานมิใช่ศาสนพิธี  หรือทำเป็นพิธีรีตอง   แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ในชีวิตของตนกับองค์พระผู้เป็นเจ้า  มิใช่เรื่องที่จะทำอวดคนอื่น  สร้างความสำคัญโดดเด่นแก่ตนเอง (6:5-15)  และการอดอาหารก็เช่นกัน ให้กระทำในที่ลับลี้ (6:16-18) จากนั้น พระองค์พูดถึงเรื่องคนที่พยายามสะสมเงินทองสมบัติเพื่อตนเอง แต่ได้รับความสูญเปล่า (6:19-24

ในที่สุด พระองค์ขมวดลงว่า คนเรามักวิตกกังวลหลายสิ่งในชีวิตที่ตนเองไม่สามารถเข้าควบคุมได้ (6:25-34) แต่พระองค์ได้วางแบบอย่างว่า ชีวิตคริสตชนควรจะเป็นอย่างไร   คริสตชนควรช่วยคนอื่นอย่างไร   ควรอธิษฐานขอการทรงช่วยเหลือเพื่อคนอื่นอย่างไร   คริสตชนจะไม่พึ่งพิงทรัพย์สินเงินทองมรดกสมบัติว่าเป็นแหล่งความช่วยเหลือในชีวิต   และในที่สุดพระคริสต์บัญชาคริสตชนว่า   ไม่ควรมีชีวิตด้วยการที่พยายามเข้าไปควบคุมทุกเรื่องด้วยตนเองแต่ยอมจำนนให้ชีวิตตนอยู่ภายใต้การปกป้อง ดูแลของพระเจ้า   ซึ่งพระองค์จะดูแลสิ่งจำเป็นต้องการต่าง ๆ ในชีวิตของเราด้วย

ในชีวิตคริสตชน เราจะต้องไว้วางใจการปกป้อง ดูแล และการใส่ใจของพระเจ้า   นั่นหมายความว่าเราต้องยอมจำนนชีวิตให้อยู่ใต้การปกครองของพระองค์ (อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า) และไว้วางใจในแผนการแห่งพระคุณของพระเจ้า   ซึ่งหลาย ๆ เรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมจัดการได้ด้วยตัวเราเองก็จะอยู่ในการทรงจัดการตามแผนงานและพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา

เมื่อเกิดอาการวิตกกังวลขึ้นเมื่อใด   นั่นเป็นอาการชี้วัดว่าเรากำลังขาดพร่องที่จะไว้วางใจในพระเจ้าใช่ไหม?   ในเวลาเช่นนั้นเราจะให้พระกิตติคุณของพระคริสต์ตอบโจทย์ชีวิตของเรา   หรือเราจะพยายามตอบโจทย์ชีวิตนั้นด้วยตัวเราเอง?  

คริสตชนต้องเลือกครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น