พระวจนะของพระเจ้าเป็นเรื่องชีวิต ดังนั้น
พระวจนะจึงจะต้องเข้ามามีส่วนในชีวิตของเราทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความนึกคิด จิตใจ
ทัศนคติมุมมอง การตัดสินใจ การวางเป้าหมาย การวางแผน
และการดำเนินชีวิตในประจำวัน ตลอดจนความทรงจำที่มีในชีวิตของแต่ละคน
เมื่อเปาโลกล่าวว่า
“จงยึดมั่นในพระวจนะ...” (ฟิลิปปี 2:16 มตฐ.)
เปาโลหมายถึงการที่คนนั้นยอมเปิดชีวิตทุกมิติของตนให้พระเจ้าใช้พระวจนะของพระองค์เข้ามาปรับแก้
และ เสริมสร้างชีวิตของเราให้มี “พระวจนะและพระประสงค์” ของพระองค์เป็นรากฐานชีวิตของเรา
ทั้งชีวิตของเราต้องยึดมั่นบนรากฐานดังกล่าว หรือ
กล่าวได้ว่าพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าเป็น “เสาหลัก” หรือ “สรณะ”
ที่เราแต่ละคนต้องยึดไว้อย่างมั่นคงตลอดเวลา
เราท่านต่างต้องเคยประสบกับภาวะ
“วิตกกังวล” กันทั้งนั้น ความวิตกกังวลคือการที่เกิดความคิดเชิงลบที่ผุดขึ้นในความนึกคิดและความรู้สึกของเรา ความวิตกกังวลทำให้เราต้องคิดแล้วคิดอีกในเรื่องนั้น ถ้าเกิดการวิตกกังวลความคิดที่ซ้ำย้ำคิดนี้จะไม่สิ้นสุด
จนกว่าความคิดเชิงลบนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นความนึกคิดเชิงบวก
สร้างสรรค์ ที่นำไปสู่ความหวัง
การยึดมั่น
ไตร่ตรอง และ ใคร่ครวญในพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าก็คล้ายกัน กล่าวคือ
การที่เรามีความคิดตรึกตรองอย่างรอบคอบ สุขุม ใจถ่อม
ทำให้เกิดสำนึกตระหนักรู้ในเชิงบวกและสร้างสรรค์ ความคิดเช่นนี้ก่อเกิดความหวัง และนำให้เกิดพลังชีวิต เห็นเป้าหมายชัดเจน และกล้าที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายแม้จะมีมิติที่เสี่ยงอยู่ก็ตาม พระวจนะและพระประสงค์จึงเป็น “หลักยึด”
ในชีวิต เป็นเข็มทิศนำทางชีวิต และเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินไปบนเส้นทางแห่งชีวิตตามพระวนจะและพระประสงค์ของพระเจ้า
เพื่อชีวิตจะสำแดงพระวจนะและพระประสงค์ออกมาเป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน
การยึดมั่นในพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นกระบวนการ ซึ่งมีขั้นตอนหลัก 7 ประการดังนี้
- การได้ยินพระวจนะ:
การที่เราจะมีพระวจนะเป็นหลักยึดในชีวิต
ต้องมีพระวจนะเข้ามาในชีวิตของเรา
การได้ยินเป็นทางหนึ่งที่พระวจนะจะเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละคน แต่เราจะต้อง “ฟังพระวจนะอย่างใส่ใจ” เราต้องเปิดความนึกคิด จิตใจ
และความรู้สึกของเราให้พระวจนะเข้ามาในชีวิต
- การอ่านพระวจนะ: เป็นทางที่สองที่พระวจนะจะเข้าในชีวิตของเรา การอ่านพระวจนะไม่ใช่การอ่านท่องบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์
หรือ จะเกิดผลเกิดพลังเมื่ออ่านท่องบ่นสวดคำสอน
หรือ บางครั้งก็มีการกำหนดว่าต้องอ่านท่องกี่รอบ หรือกำหนดว่าจะต้องท่องจำได้ แต่การอ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นการอ่านด้วย
“ดวงตา” แห่งความคิด จิตใจ
ความสำนึกและตระหนักรู้ตัว
เพื่อเมื่ออ่านแล้วสามารถนำมาใคร่ครวญ
พิจารณา เพ่งพินิจว่า ชีวิตของเราเป็นไปตามพระวจนะหรือไม่
จะทำอย่างไรที่ชีวิตประจำวันของเราจะทำตามพระวจนะจน
“พระวจนะและการดำเนินชีวิตของเรา” เป็นเนื้อเดียวกันกับพระวจนะ หรือที่ภาษาคริสตชนเรียกว่า
“ติดสนิทกับพระเจ้า”
- การศึกษาพระวจนะ: เป็นการอ่านพระวจนะ
เพื่อที่จะฟังให้ได้ยินถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตความนึกคิดและในจิตใจของเรา
เพื่อที่จะเรียนรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าผ่านทางพระราชกิจของพระองค์ที่กระทำในยุคสมัยต่างที่มีความแตกต่างเปลี่ยนแปลงมากมายที่พบเห็นในพระคัมภีร์ ประวัติศาสตร์คริสตจักร และชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย
การเรียนรู้ถึงพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้ก็เพื่อจะนำสิ่งที่เรียนรู้มาวางเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน และการตอบสนองต่อพระประสงค์ที่เรียนรู้ในยุคสมัยของเรา
- การรำพึงภาวนา ใคร่ครวญ
ตรึกตรองในพระวจนะ: เป็นการที่แต่ละคนหาเวลาที่จะมีชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้า
แล้วให้พระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้ามีครอบครองความนึกคิด จิตใจ
ความรู้สึกและจินตนาการของเรา
เป็นเวลาที่เราเปิดใจเปิดชีวิตสนทนากับพระเจ้า
และให้เวลาที่มีใจสงบรับฟังพระองค์อย่างใส่ใจ
ด้วยความตั้งใจที่จะให้พระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าเข้ามาปกป้องครอบครองในทุกมิติชีวิตเรา
และเราเองซึมซับเอาพระวจนะเข้าไปทุกส่วนในชีวิตจริงของเรา
- การทำตามพระวจนะในชีวิตประจำวัน: เป็นการประยุกต์พระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าที่ได้จากการศึกษา
และ ไตร่ตรอง
ให้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่เท่าทันยุคทันเหตุการณ์ที่เราต้องประสบพบเจอในแต่ละวัน
- การถอดบทเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต:
เมื่อเรานำพระวจนะมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันเราจะได้รับประสบการณ์ชีวิตในสิ่งที่เราปฏิบัติตามพระวจนะ
ในประสบการณ์นั้นส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเผยของพระเจ้าให้เราได้เห็นและสัมผัสถึงการทรงทำงานของพระองค์ และพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา ชีวิตของเราจะได้รับการปรับเปลี่ยน แก้ไข และเสริมสร้างใหม่ตามพระประสงค์ของพระองค์ และช่วยให้เราตอบสนองต่อพระประสงค์ในชีวิตของเราที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- การหยั่งรากและการจำพระวจนะในชีวิต: เท่าที่ผ่านมา คริสตจักรมักเน้นให้สมาชิกอ่านพระวจนะ เพื่อจะจดจำพระวจนะ เพื่อว่าเมื่อชีวิตประสบกับวิกฤติจะสามารถมีพระวจนะมาใช้ในวิกฤตินั้น แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากสมาชิกส่วนใหญ่คือ เมื่ออ่านพระวจนะแล้วก็จะลืมเลือน หรือ ท่องไม่จำสักที แต่ถ้าเราปฏิบัติพระวจนะในชีวิตประจำวัน แล้วมีการถอดบทเรียนรู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเรา และเอาบทเรียนไปปฏิบัติให้ดีกว่าเดิมอีก มิใช่เพียงเราจะสามารถจดจำพระวจนะตอนนั้น ๆ เท่านั้น แต่เราจะหยั่งรากฝังตัวลงในพระวจนะ พระวจนะจะเป็นที่ยึดและรากฐานแห่งชีวิตของเราด้วย
ดังนั้น
การที่เราจะฟังพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์เมื่อเราไปร่วมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรดูจะไม่เป็นการเพียงพอ
เราจะไม่มีพระวจนะเป็นที่จะหยั่งรากและที่เกาะยึดสำหรับชีวิตของเรา และเราก็ไม่มีพระวจนะที่เราจะสามารถยึดชีวิตเราให้มั่นได้ แล้วก็จะพบกับอาการเดิม ๆ คือ อ่านและฟังพระคัมภีร์แล้วไม่เห็นจำสักที พูดสั้น ๆ ว่า เราไม่มีพระวจนะในชีวิต แล้วเราจะยึดมั่นพระวจนะในชีวิตของเราได้อย่างไร?
“ข้าพระองค์ยินดีในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์
... ข้าพระองค์ใคร่ครวญข้อบังคับของพระองค์
และพิเคราะห์วิถีทางของพระองค์ ... ข้าพระองค์ไม่ละเลยพรวจนะของพระองค์ ...
ขอทรงสอนข้าพระองค์ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์ ... โปรดประทานความเข้าใจ...แล้วข้าพระองค์จะปฏิบัติตามด้วยสุดใจ
... ขอทรงนำข้าพระองค์ไปตามทางที่ทรงบัญชา
เพราะข้าพระองค์จะชื่นชมในทางนั้น” (สดุดี 119:11,
14-16, 33-35 อมต.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น