21 มีนาคม 2559

ฉันจะทำอย่างที่ฉันคิดฉันเชื่อ...ใครจะทำไม?

ในสังคมประชาธิปไตย   คนเราต่างอ้างถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด   ยิ่งใหญ่กว่าสิทธิร่วมของชุมชน   สิทธิของคนรอบข้าง  และสิทธิที่เราจะอยู่รอดร่วมกันอย่างมีคุณค่าและความหมายของการเป็นคนที่ต่างมีพระฉายาของพระเจ้าในชีวิตของแต่ละคน   แท้จริงแล้วสิทธิส่วนบุคคลเป็นสิทธิที่ต้องสอดคล้องกับสิทธิร่วมของชุมชนคนรอบข้างที่เราร่วมมีชีวิตอยู่ด้วย

การที่คริสตชนคนใดคิดว่าสิ่งที่ตนกระทำไม่ผิด  หรือ คริสตชนบางคนอ้างว่าไม่เห็นพระคัมภีร์ห้ามเรื่องนี้เรื่องนั้นชัด ๆ  ดังนั้น เขาต้องทำได้   สำหรับคริสตชนเราต่างดำเนินชีวิตใต้ร่มพระคุณของพระเจ้า   เรามีชีวิตอยู่ด้วยพระคุณของพระเจ้า   เราไม่ได้ดำเนินชีวิตภายใต้อิทธิพลของข้อบัญญัติ หรือ ถกเถียงกันด้วยเหตุผลว่าอะไรผิดอะไรถูกเท่านั้น   แต่การดำเนินชีวิตใต้พระคุณนั้นเราต้องมองเห็นถึงชีวิต จิตใจ ความเปราะบาง  ความต้องการของเพื่อนมนุษย์ด้วย  

ชีวิตที่ดำเนินใต้ร่มพระคุณจะต้องดำเนินไปบนรากฐานความรักเมตตาและเสียสละแบบพระคริสต์   ที่มีพระคุณต่อชีวิตของเราทั้งที่เราไม่ควรจะได้รับพระคุณความรักเมตตานั้นจากพระองค์เลย   และพระคุณนั้นทำงานในชีวิตของเรา  เปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่   ทั้ง ๆ ที่เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง  ทั้ง ๆ ที่เราไม่สามารถที่จะเป็นคนใหม่ได้เพราะความสามารถของเราเอง  

เปาโล กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ใน 1โครินธ์ 10:23 อย่างชัดเจนว่า..
เรา​ทำ​ทุก​สิ่ง​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ทุก​สิ่ง(ที่เราทำ)​นั้น​จะ​เป็น​ประ​โยชน์
เรา​ทำ​ทุก​สิ่ง​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ทุก​สิ่ง​นั้น​ทำ​ให้(เรา)เจริญ​ขึ้น (1โครินธ์ 10:23 มตฐ.)

อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมคริสตชนของไทยเรา  เช่น คนที่บอกว่าตนมีความเชื่อ  ดังนั้น เราสามารถดื่มเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอล์  และคิดว่าสามารถควบคุมตนเองในการดื่ม   ดังนั้น  เมื่อเชิญเพื่อน ๆ มาร่วมในงานเลี้ยงก็บริการเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์   โดยไม่สนใจหรือแคร์ว่าคริสตชนคนอื่นจะมองเช่นไรในการกระทำเช่นนี้   เพราะตนคิดว่าเพื่อนคริสตชนบางคนเชื่อในสิ่งที่ไร้สาระไม่สำคัญ  เป็นต้น

ในฐานะคริสตชนคนหนึ่ง  เราจะไม่สนใจแต่ความคิดความเชื่อของตนเท่านั้น   และไม่แคร์ไม่ใส่ใจ  ไม่ให้ความสำคัญกับความคิดความเชื่อของเพื่อนคนอื่น   ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไรต่อพฤติกรรมของตนที่แสดงออกไม่ได้     แต่เปาโล บอกเราชัดเจนว่า  อย่า​ให้​ใคร​เห็น​แก่​ประ​โยชน์​ส่วน​ตัว แต่​จง​เห็น​แก่​ประ​โยชน์​ของ​คน​อื่น (1โครินธ์ 10:24)   เพราะในฐานะคริสตชนนอกจากไม่ทำตามที่ตนคิดตนเชื่อเท่านั้น   แต่ต้องใส่ใจถึงความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกและความจำกัดของแต่ละคนด้วย   เพื่อนของเราบางคนอาจจะรับไม่ได้ที่เราเลี้ยงเหล้าในงานเลี้ยง   แต่เราฝืนจะเลี้ยงเพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของเรา   การกระทำเช่นนี้จะกลายเป็น "หินสะดุด" แก่เพื่อนคนนั้นได้  หรือทำให้บางคนต้องหลงผิดไป (ข้อ 32)

ในฐานะคริสตชน เปาโล เตือนให้ระลึกเสมอว่า    เรา​ทุก​คน​จง​ทำ​ให้​เพื่อน​บ้าน​พอใจ เพื่อ​ประ​โยชน์​ใน​การ​เสริม​สร้าง​ความ​เชื่อ​ของ​เขา (โรม 15:2 มตฐ.)  และให้เรา​​ต้อน​รับ​กัน​และ​กัน เช่น​เดียว​กับ​ที่​พระ​คริสต์​ได้​ทรง​ต้อน​รับ​ท่าน เพื่อ​พระ​เกียรติ​ของ​พระ​เจ้า (ข้อ 7)   ที่เราไม่กระทำตามใจตน   มิใช่ เพราะเรามีเสรีภาพในการตัดสินใจ  หรือเพราะเราเห็นว่าชีวิต ความคิดและความเชื่อของเพื่อนคนนั้นมีความสำคัญกว่าเสรีภาพส่วนตัวเท่านั้น    แต่ที่เราไม่กระทำตัวเป็นหินสะดุดของเพื่อนเพราะเราเห็นว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วย

ในฐานะคริสตชน ในแต่ละวันเราต้องอยู่ร่วม ทำงาน และมีชีวิตร่วมกับคนอื่น   เราจะไม่สนใจว่าเราคิดเราเชื่ออะไรอย่างไรเท่านั้น   แต่เราจะสนใจความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก  ความเปราะบาง หรือ ความจำกัดของเพื่อนเรา   และทุกสิ่งเรากระทำลงไป   นอกจากจะไม่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเกิดความขัดแย้งกับความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของเขาเท่านั้น   แต่การกระทำของเราควรเป็นการเสริมสร้างชีวิต จิตใจ และความคิดความเชื่อของเขาให้เจริญเติบโตขึ้น   และเหนือสิ่งอื่นใดเราประสงค์ให้การกระทำแต่ละอย่างของเราเป็นต้นเหตุให้เกิดการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น