คนปัจจุบันนี้ต่างไขว่คว้าแสวงหาความสุขในชีวิต บางคนบางกลุ่มแสวงหาความสุขจากฐานะ
ตำแหน่งในสังคม หน้าที่การงาน ความสุขของคนกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับคนอื่นล้อมรอบมองตนอย่างไร คนรอบข้างให้คุณค่า ความนับถือ
และความสำคัญแก่ตนแค่ไหน
ความสุขของคนกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับการยอมรับ
การตอบสนอง
ท่าทีของคนอื่นต่อตนเอง
ซึ่งตนเองไม่สามารถควบคุมคนอื่นให้ตอบสนองต่อตนเองได้อย่างจริงใจ ดั่งใจปรารถนา
คนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำงานหนักในชีวิตเพื่อจะสะสมกักตุนทรัพย์สิน
เงินทอง สิ่งของทรัพย์สมบัติ
เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขามองว่าจะให้ความสุขกับตนเอง คุณค่าในชีวิตของคนกลุ่มที่สองนี้อยู่ที่ “มี”
ทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งของ ดังนั้น
เขาจึงต้องแสวงหาอย่างหนัก แล้วยังต้องเก็บสะสม
และทุ่มเทในการรักษาให้เป็นของตนนานที่สุด แต่ถ้าเป็นได้ก็ตลอดไป ดังนั้น
คนกลุ่มนี้จึงมิได้มีคำว่า “ให้” ในชีวิตของเขา
นอกจากการแลกเปลี่ยนแล้วตนได้เปรียบในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น
ใครก็ตามที่พยายามปกป้อง หรือ เอาชีวิตตนเองให้รอด คนนั้นจะสูญเสียชีวิต แต่ใครก็ตามที่ยอมให้ชีวิตของตนเพราะเห็นแก่พระคริสต์และพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นจะได้รับชีวิตใหม่ “...ใครต้องการจะเอาชีวิตรอด
คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ
คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มาระโก 8:35 มตฐ.)
พระคริสต์พูดตรงไปตรงมาว่า การที่มีทรัพย์สมบัติมากมายสิ้นทั้งโลกจะเป็นประโยชน์อะไร ถ้าการมีสิ่งเหล่านั้นกลับเป็น “การทำลาย หรือ
สูญเสียชีวิตของตัวเองไป” (ดู ลูกา 9:25 และ มาระโก 8:36 มตฐ.)
แต่พระคริสต์บอกกับสาวก
ใน มัทธิว 20:28
ว่า ...บุตรมนุษย์...ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ
แต่มาเพื่อปรนนิบัติ(รับใช้)คนอื่น
และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มตฐ.)
พระคริสต์เข้ามาในโลกใบนี้ด้วยการ “รับใช้ และ
ให้ชีวิต” แก่มวลชนคนที่พระเจ้าทรงสร้าง
ทั้งการรับใช้และการให้ชีวิตจะช่วยให้ชีวิตของผู้เชื่อมีความสุข และ ยิ่งกว่านั้นยังมีความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริง และนี่เป็น “สาวกที่ติดตามพระคริสต์”
อย่างเป็นรูปธรรมในยุคปัจจุบันนี้
ในทางกลับกันเรากล่าวได้เต็มปากว่า
ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตประจำวันที่ “รับใช้ และ ให้ชีวิต”
แก่ผู้คนรอบข้างเรา
เราก็ไม่ได้เป็นสาวกของพระคริสต์
เราก็ไม่ได้ติดตามพระองค์
ต่อให้เราได้เข้าร่วมรับอบรมการสร้างสาวกกี่หลักสูตร กี่ครั้งก็ตาม
เปาโลบอกกับผู้เชื่อในฟีลิปปีว่า ถ้าความเชื่อของผู้เชื่อในฟิลิปปี
มีชีวิตที่ยอมเป็นเหมือนเครื่องบูชาที่ “ให้”
ชีวิตของตนแก่ผู้คนรอบข้างเพราะผู้เชื่อทำตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้า เปาโลจะมีความยินดีอย่างยิ่งกับชีวิตของผู้เชื่อในฟีลิปปี และการที่ผู้เชื่อในฟีลิปปี “ให้”
ชีวิตของตนแก่คนรอบข้างเป็นเหมือนเครื่องบูชาที่ถวายแด่พระเจ้า ผู้เชื่อในฟีลิปปีก็จะมีชีวิตที่ชื่นชมยินดีด้วยเช่นกัน
(ดู ฟิลิปปี 2:17-18)
คริสตชนมิได้ “เชื่อศรัทธา”
ในพระเจ้าด้วยความนึกคิดจิตใจ แล้วแสดงออกมาด้วยวาจาทางปากเท่านั้น แต่ความเชื่อศรัทธา และ
การติดสนิทกับพระเจ้าของคริสตชนควรเป็นความเชื่อที่ “จะแจ้งเห็นและสัมผัสได้”
ที่สำแดงออกมาเป็นรูปธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน นั่นคือ พระวจนะ และ
พระประสงค์ของพระเจ้ากลายเป็นวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เชื่อแต่ละคน
คริสตชนรับใช้พระเจ้าผ่านการรับใช้เพื่อน
พี่น้อง ผู้คนในชุมชน
การรับใช้เป็นการรับใช้ด้วยทั้งชีวิต
เป็นการรับใช้ด้วยการ “ให้ชีวิต”
ด้วยใจกว้างขวาง
และนี่คือที่นำมาซึ่งความสุขชื่นชมยินดี
แต่มิใช่เพราะ “เราทำดี” แต่เพราะ
พระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าเกิดผลและความสุขในชีวิตของผู้คนรอบข้างเรา และที่เราเกิดความสุขชื่นชมยินดีเพราะชีวิตของเราได้ให้แก่พระคริสต์ผ่านชีวิตของผู้คนที่เราสัมผัสสัมพันธ์ด้วยใจกว้างขวาง และชีวิตของเราอยู่เพื่อร่วมสานต่อการเสริมสร้างชีวิตตามข่าวดี
(พระกิตติคุณ) ของพระคริสต์
ทุกวันนี้อะไรที่เสริมสร้างหรือทำให้ชีวิตของท่านเกิดความสุขชื่นชมยินดี? เราท่านเคยมีประสบการณ์
ที่เกิดความสุขชื่นชมจากการที่เรารับใช้ด้วยการให้ชีวิตของเราอย่างใจกว้างขวางแก่ผู้คนรอบข้าง
เพราะสำนึกว่านี่คือการรับใช้พระคริสต์และการให้ชีวิตแก่ผู้คนตามพระประสงค์หรือไม่? ในวันหนึ่ง 24
ชั่วโมง
เราให้เวลาชีวิตของเรากี่ชั่วโมง/นาที ที่จะ “ให้ชีวิต และ รับใช้คนอื่น”
เพื่อสานต่อพระราชกิจพระคริสต์?
เราจะ “รับใช้พระคริสต์” และ “ให้ชีวิตแด่พระองค์”
ผ่านคนรอบข้างที่เราพบสัมผัสสัมพันธ์ในวันนี้แก่ใครบ้าง? อย่างไร?
ขออธิษฐานในเรื่องนี้กับพระเจ้า
และพระองค์จะเปิดทางให้โอกาสแก่เราที่จะรับใช้และให้ชีวิตของเราแก่ใครบางคนที่เราพบเห็น และ ทั้งเขาและเราจะสัมผัสกับความสุขและชื่นชมยินดีในวันนี้
อ้อ
อย่าลืมว่า วันนี้พระคริสต์ได้ให้ชีวิตเพื่อท่านและผม และ ทุกคนนะครับ!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น