คงปฏิเสธได้ยากว่า การที่จะต้องนำ ต้องโค้ช หรือ สอนคนอื่น ถ้าคนนั้นมีวัยวุฒิมากกว่า หรือ แม้แต่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ หรือ คนที่เคยมีตำแหน่งผู้นำสูงมาก่อน ย่อมทำให้เราบางครั้ง “หวั่น ๆ” ไม่มั่นใจในตนเอง
หรือไม่รู้จะเริ่มหรือจะทำอย่างไรดีที่จะเหมาะสม สร้างสรรค์
และเกิดผลดีทั้งต่อเขาและเรา
ประเด็นนี้มิได้เกิดขึ้นในการทำงานรับใช้ในคริสตจักรเท่านั้น แต่ได้เกิดขึ้นทั้งในที่ทำงาน และ
ในชุมชนด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือ นี่คืองานที่เราจะต้องทำ จะต้องรับผิดชอบ
และบางครั้งเราต้องเสริมสร้างคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราให้เป็นผู้นำ เราจะทำอย่างไรดี? ยิ่งถ้าคน ๆ นั้นมิได้มีอายุที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราเท่านั้น แต่ยังมีตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่ง หรือมีความรู้ดีในบางเรื่อง หรือเป็นผู้ที่ชาวบ้านยกย่องว่าเป็น
“ปราชญ์ชุมชน” และมีผลงาน
ประสบการณ์เป็นตัวพ่วงมาด้วยแล้ว
จะให้เรานำ เราสอน และโค้ชคนระดับนี้ได้อย่างไร?
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ บ่อยครั้งเราเกิดคำถามสารพัดที่จู่โจมเข้ามาในความคิดความรู้สึกของเรา... เขาจะยอมรับเราหรือไม่? เขาจะคิดว่าเรามีประสบการณ์พอที่จะนำเขา
สอนเขาหรือไม่?
และถ้าเขาไม่ยอมที่จะฟังเราล่ะ จะทำอย่างไรดี? และ ถ้าเราไม่มีประสบการณ์ที่สำคัญจำเป็นเพียงพอ อะไรจะเกิดขึ้น? เราจะต้องระวัง
ที่จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างเสียงในความคิดจิตใจแบบนี้จู่โจมทับถมจนเราเกิดความไม่มั่นใจ และพัฒนาเป็นความกลัวงันไป!
ประสบการณ์ของผมที่เคยเผชิญเรื่องเช่นนี้ ผมสงบและเตือนตนเองให้นิ่ง แล้วค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าวเล็ก และก้าวย่างอย่างต่อเนื่องบนความสัมพันธ์ และ บนฐานของประสบการณ์และความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมเริ่มแยกแยะสถานการณ์นี้ว่าอะไรคือ
“ความจริง” ในเรื่องที่อยู่ข้างหน้าผม
และเริ่มค่อยถามตนเองว่า
- นี่เป็นงานที่ผมต้องรับผิดชอบใช่ไหม? และที่ต้องรับผิดชอบเพราะอยู่ในตำแหน่งนี้ใช่ไหม?
- เรามีความรู้ในเรื่องที่จะต้องสอน นำ และโค้ชเขาใช่ไหม?
- เขาก็มีประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตที่ผมสามารถเรียนรู้จากเขาใช่ไหม?
- เราจะทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกันไม่ใช่หรือ?
เมื่อผมถามตนเองด้วยคำถามดังกล่าว ซึ่งเป็นคำถามที่บอกกับตัวผมเองว่า สิ่งเหล่านี้เป็น “ความจริง” ทั้งนั้น แล้วเราทำไมต้อง
“ไม่มั่นใจ” ผมเตือนความจำตนเอง
โดยพูดกับตนเองว่า... เราเคยทดลองทำในเรื่องนี้มาแล้วไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้เราเคยทำมาแล้วไม่ใช่หรือ? ยิ่งกว่านั้น
เรายังได้รับเสียงสะท้อนกลับในการทำของเรา
เราได้บทเรียนจากประสบการณ์ไม่ใช่หรือ?
และเราก็ค้นพบหลักการปฏิบัติที่สำคัญในเรื่องการเสริมสร้างคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราในทีมงานมาก่อนหน้านี้แล้วนี่!
ยอมรับในสิ่งที่เราไม่รู้
สิ่งสำคัญประการหนึ่งในฐานะผู้นำและผู้สร้างทีมงาน
หรือแม้แต่ในการทำงานกับคน เราจะต้องรู้เท่าทันตนเองว่า เรารู้เรื่องอะไรบ้าง เราไม่รู้ในเรื่องอะไรบ้าง เราคิดเช่นไรในเรื่องนี้ หมายความว่าในฐานะที่เราเป็นผู้นำ เพราะเรามีประสบการณ์ และ
ความรู้ที่จะแบ่งปันแก่คนอื่น ดังนั้น
ให้เราทำ ถ้าเราแบ่งปันความคิดสติปัญญาและสิ่งดีแก่คนอื่น เราก็จะได้รับความมั่นใจจากคนอื่น อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้รู้เสียทุกเรื่อง ดังนั้น อย่ากลัวที่จะบอกกับคนอื่นตรง ๆ ว่า
“เรื่องนี้ผมไม่รู้”
และบอกเขาจากความจริงใจว่า “ถ้าท่านมีความคิดในเรื่องนี้ ผมต้องการฟังเพื่อจะเรียนรู้” เมื่อเราบอกกับคนอื่นด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ
และ เปิดใจยอมรับความคิดของคนอื่น
เราจะได้รับการนับถือจากคน ๆ นั้น
เพื่อเป็นการพัฒนา ความสามารถ และ
ทักษะในการทำงานกับทีมงานที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา
ผมได้ขอบางคนในกลุ่มแกนนำที่ผมทำงานด้วย
ขอเขาเป็นผู้สะท้อนและให้ข้อเสนอแก่ผมเกี่ยวกับการนำ การสอน และ การโค้ชในทีมงานที่ผมทำว่าเป็นอย่างไร
โดยผมจะตั้งประเด็นให้เขาช่วยสะท้อนกลับการเป็นผู้นำทีมของผม เช่น
- สิ่งที่ผมทำได้ดีมีอะไรบ้าง?
- มีอะไรที่ผมน่าจะทำได้ดีกว่าที่ทำอยู่?
- มีอะไรบ้างที่ผมไม่ควรทำ?
คนในทีมงานที่ผมขอให้เป็นผู้สะท้อนกลับความคิดเห็นของเขาต่อการเป็นผู้นำของผม ผมมีวิธีการคัดเลือกคือ เป็นคนไว้ใจได้ ฉลาด
มีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำมาพอประมาณ
ผู้ที่เต็มใจจะช่วยเป็นผู้สะท้อน
เป็นผู้ที่ผู้คนนับถือในความคิดเห็นของเขา
ในฐานะผู้นำกลุ่มทีมงานแกนนำกลุ่มต่าง ๆ ผมต้องการที่จะเรียนรู้จากบุคคลที่มีประสบการณ์ในเรื่อง
ประเด็นที่ผมไม่รู้ ยิ่งกว่านั้น ถ้าผมรู้ว่าแกนนำกลุ่มท่านใดมีความชำนาญเฉพาะเรื่องใด
ผมจะต้องเข้าไปขอเรียนรู้เพื่อผมจะมีความรอบรู้ในเรื่องนั้น ผมมีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับแกนนำเช่นนี้ เขาพร้อมและเต็มใจแบ่งปันสิ่งที่เขารู้และชำนาญ เขาเป็นคนที่อ่านมาก และ
กล้าที่จะทดลองทำ
แล้วประมวลประสบการณ์ที่ได้รับให้เป็นองค์ความรู้ใหม่ การที่เราเปิดใจยอมเรียนรู้จากแกนนำต่าง ๆ
เป็นการเพิ่มเติมองค์ความรู้ที่มาจากประสบการณ์ปฏิบัติที่เรายังขาดยังด้อยอยู่ และนี่คือสิ่งที่ผมกระหายหาอย่างมากครับ
ผู้นำมิใช่เป็นผู้รอบรู้เสียทุกเรื่องราว
ดังนั้นอย่ากลัวที่จะบอกทีมงานว่าเราไม่รู้ และถ่อมพอที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ของทีมงานของตน แม้คนนั้นจะเป็นลูกน้องของเราก็ตาม
“ผู้นำ” นอกจากเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลต่อความคิด
ความเห็นความเข้าใจของผู้ร่วมทีมแล้ว
การถ่อมใจและจริงใจที่เรียนรู้จากคนอื่นในทีมก็เป็นภาวะผู้นำที่สำคัญในการนำคนที่มีวัยวุฒิ
และ คุณวุฒิที่สูงกว่าเราด้วย
และเมื่อเราทำเช่นนี้ก็เป็นการสร้างวัฒนธรรมการเปิดใจรับฟังรับการเรียนรู้จากคนอื่น
ๆ ในทีมงานในชุมชนที่เราทำงานด้วย
ดังที่พระเยซูคริสต์สอนสาวกของพระองค์ว่า
การเป็นผู้นำคือการเป็นคนรับใช้คนอื่น...
การเป็นผู้นำคือการถ่อมใจถ่อมตนติดตามเรียนรู้จากคนอื่น การที่เรานำใครก็ตามมิได้หมายความว่าเราต้องมีอะไรที่เหนือคนอื่นในเรื่องที่เรานำ แต่เป็นการใส่ใจ เปิดใจชื่นชม และ รับ สิ่งดี ๆ ที่มีในชีวิตของคนอื่น แล้วเอื้ออำนวยให้สิ่งดีเหล่านั้น “ฉายแสง
ส่องสว่าง” ให้คนอื่นได้เห็น ถ้าเป็นเช่นนี้ท่านย่อมนำคนอื่นได้อย่างไร้เงื่อนไขทั้งวัยวุฒิ
และ คุณวุฒิ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น