07 มีนาคม 2559

ทำไมคริสตจักรต้านการเปลี่ยนแปลง?

ปัญหาใหญ่น้อยอาจจะมิใช่เรื่องสำคัญที่สุดในสายตาของคริสตจักร   แต่การที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางเรื่อง  ที่ไปกระทบต่อบางสิ่งที่คริสตจักรเคยทำมาด้วยความคุ้นชิน หรือ ที่เป็นประเพณีปฏิบัติ  และ ถ้ามีอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้วเสนอให้ทำ   ก็จะมีกลุ่มในคริสตจักรลุกขึ้นมาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น    มักจะได้รับการต้านก่อนเสมอ

การเปลี่ยนแปลงในคริสตจักรนั้นมีหลายเรื่อง หลายด้าน หลายมุม   การเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นเรื่องการนมัสการ  รูปแบบการนมัสการ  หรือ วิธีการนมัสการ   การบ่มเพาะเสริมสร้างสมาชิกให้เป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ในบริบทชีวิตด้านต่างในชีวิตประจำวัน   การแบ่งงานในทีมผู้อภิบาล   กลยุทธในการทำพันธกิจในชุมชน   วิธีการเรียนการสอนในคริสตจักร   วิธีการจัดวางตกแต่งในตัวอาคารโบสถ์  สีคริสตจักร  ไปจนถึงชื่อคริสตจักร  และอีกหลายเรื่องมากมาย

แล้วอะไรล่ะที่เป็นตัวต้านการเปลี่ยนแปลงในคริสตจักร?  
ทำไมคริสตจักรมากมายถึงไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง?     

ผู้นำและสมาชิกคริสตจักร ดูเหมือนมีแนวโน้มที่จะขัดขวางการเปลี่ยนแปลง  แม้แต่เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องที่ดีสร้างสรรค์ก็ตาม   การต่อต้านมักแสดงออกด้วยอาการต่าง ๆ  เช่น
  • การปกป้องตนเอง   เมื่อคนในคริสตจักรได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ หรือ ข้อเสนอเพื่อการเปลี่ยนแปลงมักจะแสดงอาการ “ก้าวถอย” เพื่อปกป้องความเป็นตัวตนที่เป็นอยู่ในเวลานั้น   แทนที่จะเปิดใจรับฟัง  พิจารณา  ใคร่ครวญคำวิจารณ์-วิพากษ์ หรือ ให้ข้อเสนอ  ด้วยการคิดอย่างใคร่ครวญรอบด้าน
  • ปฏิเสธ   แต่บางคนบางพวกเมื่อได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงปัญหาหรือจุดอ่อนด้อยของคริสตจักรก็จะเลือกทางออกหรือการตอบสนองด้วยการปฏิเสธทันที  และเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
  • กล่าวโทษคนวิพากษ์   เช่น  “ที่เขาว่าการนมัสการของเราไม่ได้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้รับการสัมผัสจากพระเจ้า ก็เพราะพวกเขาเองไม่ได้เตรียมจิตเตรียมใจให้พร้อมที่จะเข้าร่วมในการนมัสการพระเจ้าของเรา”
  • อ้างพระเจ้า (อย่างผิด ๆ)    สมาชิกและผู้นำคริสตจักรกลุ่มนี้มีความสับสนในการแยกแยะระหว่าง “พระเจ้า” กับ “คริสตจักร”   เขาจะบอกว่า  “พระเจ้าทรงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง   พระเจ้าเป็นอย่างไรในอดีต ก็จะเป็นเช่นนั้นทั้งในวันนี้และในอนาคต”  ดังนั้น “คริสตจักรไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามความคิดใหม่ของคุณ” 
  • ติดยึดกับความทรงจำในอดีต (อาจจะเป็นจริง หรือ มโนเอาเอง)   ความจำที่อบอุ่นในอดีตกลายเป็นตัวครอบงำการคิดการจินตนาการถึงสิ่งดี ๆ อื่น ๆ ในปัจจุบันและอนาคต ถ้าไม่เข้ากรอบประสบการณ์ที่ตนคุ้นชินถือว่า “ไม่ใช่”
  • ความกลัวลาน   ความกลัวคือตัวต้านการเปลี่ยนแปลงในเกือบทุกกรณี  และนำให้เกิดการเผชิญหน้าต่อต้านเมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลง   แม้จะเห็นเหตุผลว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญจำเป็น  แต่เพราะความขลาดกลัวทำให้เกิดความขัดแย้ง หรือ การสู้กันในทางความคิด  เป็นความ “รู้สึก” ที่อยู่เหนือเหตุผลคำอธิบายใด ๆ
  • เลี่ยงการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลแบบข้าง ๆ คู ๆ   เช่น “ฉันรู้นะว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้   แต่ฉันมีเวลาทำงานที่นี่อีกเพียง 5 ปี   ฉันจะให้ผู้นำคนใหม่เป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงจะดีกว่า”  “ฉันอยู่ในตำแหน่งรักษาการ...  ฉันไม่ควรเปลี่ยนแปลงอะไร... รอผู้บริหารตัวจริงเขาตัดสินใจดีกว่า”


แท้จริง  การหลีกเลี่ยง หรือ การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงมีผลร้ายต่อคริสตจักร   การติดยึดอยู่กับแนวทางการปฏิบัติเดิม ๆ อาจจะนำความเสื่อมทรุด เลวร้ายมาสู่คริสตจักร   ทำให้คริสตจักรมีประสิทธิภาพ และ ความสามารถที่จำกัดในการสร้างผลกระทบที่สร้างสรรค์ต่อชุมชน

ถ้าเช่นนั้นเราจะสามารถหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่คริสตจักรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์ได้อย่างไร?   ข้างล่างนี้มีประเด็นบางประการที่ใช้ในการพิจารณาในเรื่องนี้
  1. อธิษฐานทูลขอความชัดเจน  การทรงนำ  และ ความกล้าหาญ   ทูลขอต่อพระเจ้าให้ทรงสร้างจิตใจคนในคริสตจักรให้รับการเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงใหม่ที่จะขับเคลื่อนชีวิตตนและคริสตจักรไปบนเส้นทางที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์
  2. เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจำเป็น   จะไม่มุ่งใส่ใจว่าจะเกิดการสูญเสียอะไร   แต่ใส่ใจว่าคริสตจักรจะได้รับอะไร   ในฐานะผู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง  ต้องช่วยให้คนในคริสตจักรได้เห็นชัดถึงภาพรวมที่สร้างสรรค์ของผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  และประโยชน์ที่คริสตจักรจะได้รับ
  3. สร้างแรงบันดาลใจแก่ทุกคน   ให้ชวนคิดชวนคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้นำที่มีอิทธิพลในความคิดของสมาชิกคริสตจักรให้สามารถเห็นภาพนิมิตใหม่ที่ชัดเจน
  4. ค่อย ๆ ช่วยให้ผู้คนในคริสตจักรแต่ละคนยอมรับการเปลี่ยนแปลง   การที่ค่อย ๆ สร้างความเข้าใจไปทีละคนจะช่วยปรับเปลี่ยนความคิดของผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงให้มีโอกาสปรับและเปลี่ยน   มีโอกาสในการพิจารณาเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง  (แต่โปรดหลีกเลี่ยงการสร้างความเข้าใจด้วยการเรียกประชุม)
  5. ให้มีความเชื่อศรัทธาเหมือนเด็ก   ถ้าท่านไม่เป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ   ท่านจะไม่สามารถเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย


ดังนั้น   เมื่อจะต้องมีการพิจารณา หรือ พูดคุยถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลง หรือ การทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ   ผู้ที่เอื้ออำนวยการเปลี่ยนแปลงจะต้องรู้เท่าทันวัฒนธรรมของคริสตจักรในเวลานั้น   ตระหนักและยอมรับถึงความรู้สึกที่ไม่มั่นคงต่อการเปลี่ยนแปลง   และมีวิธีการ หรือ แนวทาง การเอื้ออำนวยการเปลี่ยนแปลงคริสตจักรบนฐานของความรักเมตตาแบบพระคริสต์ และ ด้วยจิตวิญญาณแห่งการรับใช้ของพระคริสต์
                                                                                                        
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น