การเป็นสาวกพระคริสต์ไม่ได้มีสูตรเดียว
จริง ๆ แล้วไม่มี “สูตรตายตัว”
ดังนั้นการสร้างสาวกพระคริสต์ในทุกวันนี้จึงไม่ควรยึดมั่นจำกัดในสูตรเดียว
“ตายตัว” เช่นกัน
เมื่อเรากลับไปศึกษาพิจารณาและใคร่ครวญการทรงเรียกสาวกของพระคริสต์ พระองค์ทรงเรียกบุคคลต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลาย แล้วพระองค์ก็ทรงเรียกให้แต่ละคนมีรูปแบบ
บทบาทในการเป็นสาวกของพระองค์ที่ไม่เหมือนกันด้วย เพื่อที่จะเป็นสาวกของพระคริสต์ในสถานการณ์
และ บริบทที่แตกต่างกัน ด้วยรูปแบบ
การสำแดงออกของชีวิตที่เป็นสาวกไม่เหมือนกัน
แล้วแต่เส้นทางชีวิตประจำวัน บริบทชีวิต
และ ทักษะความสามารถ/ของประทานของคน ๆ นั้น แต่มีเป้าประสงค์เดียวกันคือ
ตามพระประสงค์ของพระคริสต์
เมื่อพระเยซูคริสต์กระทำพระราชกิจของพระองค์ในโลกนี้ มีหลายต่อหลายคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ และเราพบความจริงว่า มีสาวกหลายรูปแบบ และ
และหลายบทบาทที่ไม่เหมือนกัน
ในช่วงแรกเริ่มพระราชกิจของพระองค์เป็นช่วง “มาดูเถิด” (ยอห์น 1:39 มตฐ.) และจากกลุ่มคนที่ติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงเลือกสาวกใกล้ชิด/สาวกใกล้ตัว 12 คน
จากกลุ่มคนที่ติดตามพระองค์หลายคน
เรายังพบอีกว่ามีบางคนที่เข้าร่วมกระบวนการของพระคริสต์ในบางเวลา
และคนเหล่านี้อาจจะไม่ปรากฏชื่อในพระคัมภีร์ หรือ
ไม่พบว่าเขาได้รับการทรงเรียกเป็นการส่วนตัวจากพระเยซู แต่เราก็พบด้วยเช่นกันว่า บางคนเป็นสาวกติดตามพระคริสต์อย่างเงียบ ๆ เช่น
นิโคเดมัส ที่ต้องมาพบพระคริสต์ในเวลาค่ำคืน
หรือ อย่าง โยเซฟชาวอาริมาเธีย ที่เป็นสาวกลับๆ (ยอห์น 19:38 มตฐ.) ขอย้ำว่า คนเหล่านี้เป็นสาวกของพระคริสต์ และ
มีบทบาทในการเป็นสาวกที่แตกต่างกันออกไป
ตามบริบทและสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
พระคัมภีร์ไม่ได้ขีดเส้นจำกัดตายตัวถึงรูปแบบการเป็นสาวกที่แท้จริงของพระคริสต์ แต่พระคริสต์กำหนดคุณภาพชีวิตในการเป็นสาวที่เหมือนกัน
คนแบบไหนที่เป็นสาวกพระคริสต์
คนเหล่านี้แต่ละคนก็ยังเป็นสาวกของพระคริสต์
ผู้คนจำนวนมากที่อยากรู้อยากเห็นแล้วติดตามไปฟังคำสอนของพระเยซูคริสต์และก็เข้าใจแล้วก็ตัดสินใจเป็นการส่วนตัวว่าเป็นสาวกของพระองค์ แล้วสาวกในกลุ่มนี้บางคนก็เลิกติดตามพระองค์
เพราะมีคำสอนของพระคริสต์ที่เขารู้สึกลำบากใจ
หรือไม่เข้าใจ
หรือต้องประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต (อย่างเช่น พระเยซูทรงเลี้ยงประชาชน 5,000 คนในยอห์น 6:1-15 แต่สาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอย
ไม่ติดตามพระองค์ต่อไป เพราะได้ยินคำสอนที่ยาก ดู ยอห์น 6:60-70) สาวกที่แท้จริงจึงอยู่ในช่วงที่สองคือ
ผู้ที่ยังยืนหยัดติดตามพระเยซูคริสต์
ไม่ว่าสถานการณ์ชีวิตจะพลิกผันยากลำบากเช่นใดก็ตาม
บ่อยครั้งเรามักสำคัญตระหนักผิดว่า สาวก “วงใน” เป็นสาวกจริงแท้ที่สุด แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผัน ยูดาส ทรยศ “ขายพระเยซู” เพื่อจะได้เงิน 30 แผ่น สาวกคนอื่นก็ละทิ้งหนีเอาตัวรอดเมื่อสถานการณ์วิกฤติคับขัน เปโตรที่ยืนยันพร้อมตายกับพระคริสต์
แต่กลับปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้ง
แล้วเหลือใครที่เป็นสาวกในสายตาของเราท่านครับ? ใต้กางเขนที่ตรึงพระเยซู มีมารีย์มารดา ยอห์น และ สตรีบางคนที่เคยติดตามพระองค์ แล้วพบอีกว่า โยเซฟชาวอาริมาเธีย
ที่เป็นสาวกพระคริสต์เป็นการลับ
กลับเป็นคนที่ขอพระศพพระคริสต์จากปีลาตแล้วนำไปฝังที่อุโมงค์ของตน แล้วเราคิดว่า
“ใครคือสาวกพระคริสต์ที่จริงแท้” ในเวลานั้น?
หลังจากช่วง
“มาดูเถิด” ต่อไปในช่วง “จงติดตามเรามา” ในช่วงนี้มีสาวกที่มีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป
และ มีบทบาทที่ไม่เหมือนกัน
ในสมัยของพระเยซูคริสต์
มีสาวกบางคนที่ละทิ้งบ้านและอาชีพ แล้วติดตามพระเยซูคริสต์ไปในที่ต่าง ๆ
แต่เราก็พบความจริงอีกเช่นกันว่า
หลายคนที่ได้รับการรักษา หรือ ขับวิญญาณชั่วออกต้องการติดตามพระองค์ในที่ต่าง ๆ แต่พระคริสต์กลับบอกให้เขา “กลับบ้าน” เช่นหญิงที่ชโลมพระบาทพระคริสต์ด้วยน้ำหอม หลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับเธอว่า ...“ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด
จงไปเป็นสุขเถิด” (ลูกา 7:50
มตฐ.)
และพระเยซูบอกกับคนโรคเรื้อนที่พระองค์รักษาหายว่า “จงลุกขึ้นไปเถิด
ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ” (ลูกา 17:19 มตฐ.) ชายที่ถูกผีโสโครกสิง และ
อยู่ที่อุโมงค์ฝังศพ
เมื่อพระเยซูคริสต์ขับผีออกจากเขาแล้ว
เขาขอติดตามพระองค์ไป พระองค์ไม่ทรงอนุญาต
แต่ตรัสแก่เขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้าน
แล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า
และได้ทรงพระเมตตาแก่เจ้าแล้ว” (มาระโก 5:19) และพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ด้วยว่า “ฝ่ายคนนั้นก็ทูลลา
แล้วเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรี
ถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำเพื่อตัว
และคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก” (ข้อ 20)
ผู้คนจำนวนมากในหมู่บ้าน
ในพื้นที่ที่พระเยซูคริสต์กระทำพระราชกิจของพระองค์ ที่มิได้ติดตามพระองค์ไปในที่ต่าง ๆ อย่างสาวกวงใน แต่คนเหล่านั้นหลายต่อหลายคนที่ก็เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ พวกเขาเชื่อในพระองค์
แล้วดำเนินชีวิตประจำวันตามคำสอนของพระองค์ เราต้องตระหนักความจริงให้ชัดเจนว่า
มีผู้คนจำนวนมากที่มีชีวิตติดตามพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวัน ในสถานการณ์ และ บริบทชีวิตของแต่ละคน คนเหล่านี้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ด้วย
ตลอดประวัติศาสตร์แห่งพระราชกิจของพระเยซูคริสต์
และ การขับเคลื่อนชีวิตและพันธกิจคริสตจักร
สาวกที่เชื่อและติดตามพระคริสต์ด้วยการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์เป็นพลังขับเคลื่อนตามที่พระคริสต์สั่งบัญชามากที่สุด
และ สำคัญที่สุด สาวกเหล่านี้ได้รับการทรงเรียกให้ทำงานอาชีพในชีวิตประจำวัน
ดำเนินชีวิตในครอบครัวบนรากฐานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
สำแดงชีวิตที่เป็นสาวกพระคริสต์ท่ามกลางสังคมชุมชนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นแสงสว่างของพระคริสต์ในที่ทำงาน ในชุมชน
และในกลุ่มเพื่อน สาวกพระคริสต์ส่วนมากไม่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นมิชชันนารี ศิษยาภิบาล
ศาสนาจารย์ ครูศาสนา ผู้ปกครองคริสตจักร หรือ ผู้นำ
ผู้บริหารหน่วยงานคริสตชน แต่คนเหล่านั้นเป็นสาวกที่ขับเคลื่อนสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์
สาวกหลายรูปแบบ
หลายบทบาท เพื่อตอบสนองหลายสถานการณ์ชีวิต
แต่ผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นสาวกในชีวิตประจำวันเหล่านี้เป็น
“สาวก” จำนวนมากที่สุดที่ “ออกไป” และ
“นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์”
เป็นกลุ่มสาวกที่หลากหลายรูปแบบ
มากด้วยวิธีการ
ตอบสนองหลากหลายสถานการณ์ชีวิต
และด้วยหลายบทบาทที่ตอบโจทย์ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายของเขา
เป็นพลังขับเคลื่อนหลักที่สานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ทุกวันในชีวิตประจำวัน ทั้งในครอบครัว ในที่ทำงาน ในกลุ่มเพื่อนฝูง
และ ในสังคมชุมชน
แล้วท่านเป็นสาวกของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันแต่ละวันหรือไม่?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น