05 ตุลาคม 2561

บนเส้นทางชีวิต...ที่ให้ชีวิต!


เมล็ดที่ไม่ได้หว่านลงดินให้งอกก็ไม่เกิดผล   พระเยซูได้ใช้เมล็ดเป็นตัวอย่างที่เปรียบเทียบให้เห็นถึงความจริงว่า   ทำไมเราถึงต้องยอม “ให้ชีวิต” ยอมสละชีวิต  ทั้งนี้เพื่อที่เราจะสามารถนำคนเป็นอันมากเข้ามาหาพระองค์ได้   พระคริสต์ได้สอนหลักการ ชีวิตที่เกิดผลคือ “ชีวิตที่ให้ชีวิต”  นี่เป็นหลักการที่สามารถใช้กับชีวิตทุกด้าน  

ถ้าความใฝ่ฝัน ความปรารถนาของเราถูกเก็บรักษาอย่างดี  แยกไว้ต่างหาก เป็นพิเศษ  ปกป้องอย่างมิดชิด  และ ให้อยู่ในสภาพที่สะดวกสบาย และ ปลอดภัย ชีวิตของคน ๆ นี้ก็จะไม่เกิดผลตามที่พระเจ้าต้องการ  

แต่การที่คน ๆ นั้นยอมที่จะสละชีวิต ยอมที่จะให้ชีวิต  ยอมที่จะถูกหว่าน “ลงในดิน”  แล้วยอมอ่อนตัว และ แตกตัวออก งอกเป็นต้นใหม่  ยอมละทิ้งความสำคัญยิ่งใหญ่ของตนเอง  ความสามารถที่จะจัดการด้วยตนเอง  พึ่งตนเอง   เมื่อนั้นชีวิตของคน ๆ นั้นจะเกิดผล และ มีประโยชน์ในพระราชกิจของพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า... “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ได้ตกลงไปในดินและตายไปก็จะคงอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าตายแล้วก็จะเกิดผลให้มีเมล็ดอื่น ๆ มากมาย  ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิต ส่วนผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะรักษาชีวิตไว้และมีชีวิตนิรันดร์”   (ยอห์น 12:24-25 อมธ.)

การที่เรายอมจะให้ชีวิตของเรา “แตกตัว” ออก   เป็นวิธีการหนึ่งของพระเจ้าที่จะทำให้ลูกของพระองค์มีชีวิตที่เติบโตขึ้น   ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป พลิกฟื้น อาจจะเกิดจากสิ่งท้าทายต่าง ๆ มาจากการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น
สถานการณ์แวดล้อมอาจจะทำให้เราไม่สามารถพึ่งตนเองได้
บางสถานการณ์ที่เราไม่สามารถจัดการด้วยตนเอง นอกจากที่จะเชื่อฟังและไว้วางใจพระเจ้า
ยอมรับกำหนดเวลาตามแผนการของพระเจ้า

ถ้าเราปฏิเสธที่จะรับการพลิกฟื้นใหม่  ปฏิเสธรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ปฏิรูปใหม่ตามพระประสงค์ที่พระองค์จะปลดปล่อยและสร้างเราให้มีชีวิตใหม่   ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าจะใช้เราร่วมในพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระองค์ได้อย่างไร?   ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรจากเมล็ดที่ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองแตกตัวออกเพื่องอกเป็นพืชต้นใหม่   เราก็จะเป็นเมล็ดที่ไม่เกิดผล

อะไรที่ทำให้เรายังขัดขืน ดื้อดึง ต่อการที่จะมีชีวิตตามกระบวนการ “การให้ชีวิต  การยอมเสียสละชีวิต” “การยอมที่จะละทิ้งการมีชีวิตที่เพื่อตนเอง”  ทำไมถึงไม่ยอม “แตกชีวิต” ของเราออกเพื่องอกเป็นต้นใหม่?  

มักมีสาเหตุมาจากการที่เรามี “ความเชื่อแบบสายตาสั้น”  คือ มองเห็นความสำคัญของผลประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้าใกล้ตัวเท่านั้น   เรามักมองแบบไม่มีกระบวนทัศน์   และไม่ยอมที่จะให้สิ่งดีมีค่าต่าง ๆ หรือ ความสัมพันธ์ดี ๆ ที่ทำให้เรามีความสุขต้องหลุดลอยออกไปจากชีวิตตน หรือ ไม่ยอม “ปล่อย” ให้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งนั้นเป็นภัยฉุดรั้งความก้าวหน้าเติบโตในชีวิตจิตวิญญาณของเราในระยะยาวให้หลุดลอยจากชีวิต

เรามีความเชื่อแบบสายตาสั้น  ที่มองเห็นแต่ผลประโยชน์ที่ตนจะได้ใกล้มือ   ทำให้ชีวิตสาวกพระคริสต์ของเราแคระแกร็นไม่เติบโต   เรามักเลือกที่จะมีชีวิตบนเส้นทางที่สะดวกสบาย  หรูหรามีเกียรติ  ได้รับผลประโยชน์มากกว่าทางอื่น   ซึ่งการเลือกเส้นทางชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่สวนกระแส ต่อต้าน ดื้อดึงต่อพระประสงค์ของพระเจ้า  

เรากลับคาดหวังว่าพระเจ้ายังจะอวยพระพรเราบนเส้นทางที่ดื้อรั้น สวนทางกับเส้นทางชีวิตของพระเจ้าอยู่อีกหรือ?

อย่ามีจิตใจวอกแวก หลงไปยึด “ความเชื่อแบบสายตาสั้น”   ซึ่งมิใช่เส้นทางชีวิตที่พระเจ้าเตรียมและเป็นพระประสงค์เพื่อชีวิตของเรา   มิใช่เส้นทางชีวิตที่ท่านจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์  

เส้นทางชีวิตที่นำเราไปสู่ความอุดมเกิดผลรอเราอยู่  ให้เรา “ปล่อยสิ่งที่เรายึดมั่น”  แล้วหันไปให้พระคริสต์นำชีวิตของท่านไปบนเส้นทาง “ชีวิตที่ให้ชีวิต และ ยอมเสียสละชีวิต”   แต่เป็นเส้นทางที่เกิดการพลิกฟื้นคืนดีสู่ชีวิตใหม่และเกิดผลอย่างอุดมในชีวิตของเรา และ คนรอบข้าง  และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยพระกิตติคุณของพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น