คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ต้องการที่จะมีเงินและทรัพย์จำนวนเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะมักคิดกันว่าทรัพย์สินเงินทองจะทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิต และมักเผลอคิดไปว่าจะทำให้ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ในภาวะความเครียดเพราะสามารถมีในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งการมีทรัพย์สินเงินทองที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเครื่องวัดถึงความสำเร็จในชีวิต
คณะธรรมกิจหลายต่อหลายคริสตจักรที่คิดในทำนองเดียวกันนี้ จะพยายามสะสมให้คริสตจักรมี “กองทุน” ที่เพิ่มใหญ่ขึ้นทุกปี (คนเหล่านี้มักคิดว่า...การสะสมกองทุนสำคัญยิ่งกว่าการทำพันธกิจ ดังนั้น คณะธรรมกิจจึงเลือกที่จะเอาเงินทองที่มีอยู่สะสมเป็นกองทุน มากกว่าที่จะเอาทรัพย์สินไปทำพันธกิจ) เพราะคณะธรรมกิจมักมีกรอบคิดว่า ยิ่งมีกองทุนใหญ่โตแค่ไหนก็ยิ่งรู้สึกว่าคริสตจักรมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และคริสตจักรไทยก็มักจะอ้างเสมอว่า “กองทุน” ที่สะสมใหญ่ขึ้นนั้นเป็นพระพรของพระเจ้า ทำให้เกิดคำถามว่า การที่งดเว้นทำพันธกิจคริสตจักรเป็นพระพรจากพระเจ้าได้เช่นไร?
ทำให้เกิดความสนเท่ห์ หรือ ไม่ก็เกิดคำถามขึ้นว่า แล้วปัจจุบันนี้ คริสเตียน คริสตจักรท้องถิ่น คริสตจักรภาค หรือคริสตจักรระดับชาติฝากความรู้สึกมั่นคงไว้ในการทรงนำของพระเจ้าและในการทำพันธกิจของพระองค์ หรือ รู้สึกมั่นใจในกองทุนที่ใหญ่ขึ้น ถ้าคริสเตียนและคริสตจักรฝากความมั่นคงมั่นใจในทรัพย์สินที่พอกพูนขึ้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกโจรหรือหัวขโมย, นักการพนัน, หรือนักลงทุนแบบกล้าได้กล้าเสี่ยง หรือไม่ก็พวกหวังชีวิตจะมั่นคงจากความร่ำรวยในกองมรดกที่จะเป็นของตนในอนาคต คนกลุ่มเหล่านี้ก็มีความคิดความเชื่อในทำนองนี้ แล้วคริสเตียน และ คริสตจักรจะคิดจะเชื่อเหมือนกับคนกลุ่มเหล่านี้หรือ?
เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูคริสต์เช่นกัน ในพระธรรมลูกา 12:16-21 ได้บันทึกไว้ว่า
15แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ระวังให้ดี จงหลีกเลี่ยงจากความโลภทุกอย่าง เพราะว่าชีวิตของคนไม่ได้อยู่ที่การมีของฟุ่มเฟือย”
16แล้วพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก 17เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า 'ข้าจะทำอย่างไรดี? เพราะว่าข้าไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผลของข้า' 18เขาจึงคิดว่า 'ข้าจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของข้าและจะสร้างใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น แล้วข้า จะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของข้าไว้ที่นั่น
19แล้วจะบอกกับจิตใจของข้าว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี
จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด' ”
20แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า 'โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า
แล้วของที่เจ้ารวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใคร?'
21คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และไม่ได้มั่งมีฝ่ายพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
ตามหลักคิดหลักเชื่อในบทบัญญัติของพระคัมภีร์ เศรษฐี หรือ คนมั่งมีในสายพระเนตรของพระเจ้าต้องเป็นคนที่เอาใจใส่คนยากจน คนเล็กน้อย คนทุกข์ยาก คนถูกทอดทิ้งถูกย่ำยี หญิงหม้าย ลูกกำพร้า แรงงานต่างชาติให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าศักดิ์ศรีที่เป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้คนที่ “มั่งมี” ได้เป็นตัวแทนของพระองค์ที่จะเอาใจใส่ดูแลคนที่ปกป้องตนเองไม่ได้และคนเล็กน้อยเหล่านั้นตามที่กล่าวข้างต้น
พระเจ้าในคริสต์ศาสนามิได้รังเกียจคนมั่งมี หรือ เศรษฐี แต่ที่ใครมั่งมีนั้นพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ใช้ความมั่งมีที่ได้รับนั้นตามพระประสงค์ของพระเจ้า เศรษฐีเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเกียรติจากพระเจ้าให้เป็นผู้เอาใจใส่คนเล็กคนน้อย คนยากคนจน คนที่ถูกทอดทิ้งในพระนามของพระองค์
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ได้รับทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแล้วเป็นคนที่ “โลภ” และ มีชีวิตที่ “ฟุ่มเฟือย” จะทำสิ่งที่ต่อต้าน หรือ เป็นกบฏต่อพระประสงค์ของพระเจ้า แทนที่จะเป็นคนที่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินเงินทองที่มีเพิ่มพูนมากขึ้นเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อช่วยคนยากจน คนเล็กน้อย คนถูกทอดทิ้ง แต่เพราะ “วิญญาณแห่งความโลภ” และ “วิญญาณแห่งความฟุ่มเฟือย” เขาจึงกอบโกยเก็บกักทรัพย์ที่ได้มาทั้งหมดเพื่อตนเอง และเพื่อตนเองเท่านั้น
ความมั่นใจและความไว้วางใจของเขาคือ จำนวนทรัพย์สมบัติที่เขาสะสมเพิ่มพูนขึ้น และเขาคุยฟุ้งกับตนเองว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด'” คนมั่งมีหรือเศรษฐีเช่นนี้พระเยซูชี้ชัดว่า “เขาไม่ได้มั่งมีฝ่ายพระเจ้า” เพราะเขามั่งมีฝ่ายตนเองแห่งโลกนี้ และพระเยซูคริสต์เรียกคนมั่งมี หรือ เศรษฐีพวกนี้ว่า “โง่” สำหรับพระเยซูคริสต์แล้วคน “โง่” ไม่ใช่คนไม่รู้ แต่คนโง่คือคนที่ไม่ยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งๆ ที่รู้ คนโง่สำหรับพระเยซูคริสต์คือคนที่เก็บสั่งสมเพื่อตนเอง ทำเพื่อตนเอง มีชีวิตเพื่อตนเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า ความมั่งมีมั่งคั่งที่ตนได้รับนั้นต้องนำไปทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
คนโง่ คือคนที่ “โลภ” และ มีวิถีชีวิตแบบ “ฟุ่มเฟือย” จึงทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อเขาหลับตาเมินเฉยต่อพระประสงค์ของพระเจ้าเขาจึงมองไม่เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนอื่นแม้จะอยู่ใกล้ชิดรอบข้างตนก็ตาม เมื่อเขาไม่สามารถมองเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนเล็กน้อยรอบข้าง ในที่สุดเขาก็มองไม่เห็นศักดิ์ศรีและคุณค่าในชีวิตของตนเองด้วย แต่กลับไปหลงผิดและมองเห็นว่า สิ่งที่มีคุณค่าที่แท้จริงคือทรัพย์สินเงินทองมากมายที่ตนมีอยู่แล้ว และที่ตนอยากได้มากขึ้น แล้วก็บูชาทรัพย์สินเป็น “รูปเคารพ” ในชีวิตของตน
ในแผ่นดินของพระเจ้า ต้องการคนที่มีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตและทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดำเนินชีวิตประจำวันตามน้ำพระทัยของพระองค์ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไรในสวรรค์ ขอให้เป็นจริงเช่นนั้นในแผ่นดินโลก ให้เราดำเนินชีวิตตามคำอธิษฐานนี้
สัจจะความจริงประการสุดท้ายในวันนี้คือ ชีวิตเป็นของประทานจากพระเป็นเจ้า พระองค์เป็นเจ้าของชีวิต มิใช่เราเป็นเจ้าของชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตแล้ว ทรัพย์สินเงินทองกองใหญ่กองโตที่อุตส่าห์สั่งสมมาจะมีค่าและเป็นประโยชน์อันใด
“ความโลภ” คือการที่เข้าไปทำตัวเป็นเจ้าของในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน หรือความอยากที่จะเป็นเจ้าของในสิ่งที่เป็นของผู้อื่น เพราะคิดว่าตนจะมีความสุข ความมั่นคงในชีวิตถ้าได้เป็นผู้ครอบครองสิ่งเหล่านั้น ยิ่งมากยิ่งมีอำนาจ ยิ่งทำให้มีความสุขมากขึ้น ความโลภจึงทำให้จิตใจของคนๆ นั้นไม่สงบสุขจนกว่าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ
“ฟุ่มเฟือย” คือการใช้สอยทรัพย์สินสิ่งของเพื่อตนเอง ตามใจตนเอง แต่มิได้คำนึงถึงการใช้ทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของ มุ่งเน้นการสร้างสุขและคุณค่าในชีวิตด้วยทรัพย์สินเงินทองมากกว่าสัมพันธภาพระหว่างตนกับพระเจ้า และสัมพันธภาพระหว่างคนในครอบครัว คนรอบข้างในที่ทำงาน และคนที่พบปะในชุมชน
เมื่อผมเห็นสมาชิกคริสตจักร(หลายแห่ง)ในปัจจุบัน ผมรู้สึกทุกข์ใจ
ตอบลบคริสเตียนมากมายได้ไหลไปตามกระแสโลกซะแล้ว
ผู้รับใช้พระเจ้าต้องอดทน ต่อสู้อย่างมาก
ขอผู้รับใช้พระเจ้าอย่าหยุดวิงวอนอธิษฐาน และอดทนในการสั่งสอนต่อไปครับ
ขอพระเจ้าเมตตาแก่คริสตจักรของพระองค์นะครับ
-------
2 ทิโมธี 4:2-5
2 จงประกาศพระวจนะ จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ จงชักชวน ตักเตือน และหนุนใจ ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่
3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน1
4 พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ
5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์