30 มกราคม 2555

กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง

ผู้นำที่ปรารถนาพบ “ทางออก” ของปัญหาและวิกฤติในคริสตจักร หรือ หน่วยงานสถาบันคริสเตียน ผู้นำคนนั้นต้องกล้าพอที่จะแสวงหา “พระพักตร์พระเจ้า” เพื่อที่เขาจะมีความกล้าหาญพอและได้รับพลังที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของผู้คนและองค์กรที่ตนรับผิดชอบอยู่

ผมเติบโตในคริสตจักร หน่วยงาน และ สถาบันคริสเตียนภายใต้สภาคริสตจักรในประเทศไทย ทั้งคริสตจักรและหน่วยงานส่วนมากเป็นองคกรที่มีอายุและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และแน่นอนครับหลายต่อหลายคนในองค์กรและคริสตจักรเก่าแก่เหล่านี้ต่างภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนาน และความสำเร็จในอดีต แม้ว่าคริสตจักร หรือ องค์กรของตนต้องเผชิญหน้ากับปัญหา อุปสรรค วิกฤติ และความผุกร่อนในด้านต่างๆ ในปัจจุบันก็ตามที

ความจริงที่พบเห็นจนชินชาดูเป็นเรื่องธรรมดาปฏิบัติขององค์กรภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้คือ การหลีกลี้หลบหนีที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา วิกฤติ และความผุกร่อนที่กำลังกัดเซาะให้องค์กรผุพังจนนำไปสู่การล่มสลายขององค์กรในที่สุด หรือไม่ก็ทำให้ต้องง่อยเปลี้ย แคระแกรน ไม่สามารถเติบโตที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป จะด้วยการที่ไม่สามารถมองเห็นถึงรากเหง้าของปัญหา สาเหตุของวิกฤติ หรือตั้งใจหลับหูหลับตาไม่ยอมมองให้เห็นระคายตา หรือซ่อนเม้มมันไว้จนลืมไปว่ามันมีจริงในองค์กรที่ตนเองรับผิดชอบ หรือไม่ก็หลอกตนเอง หลอกคนอื่นอย่างตั้งใจว่า องค์กรของเราไม่มีปัญหา องค์กรของเราไม่ประสบวิกฤติ องค์กรของเรายังสุขสบายดี ยิ่งร้ายกว่านั้นก็จะอ้างอิงว่า ไม่ต้องห่วงพระเจ้าทรงดูแลองค์กรของเราอยู่

คนทำงานและคนที่อยู่ร่วมในคริสตจักร และ องค์กรคริสเตียนเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็จะมองหาแต่ “ประโยชน์” ที่ตนจะได้รับจากคริสตจักรหรือองค์กรที่ตนอยู่ร่วมด้วย จะชอบจะพอใจผู้นำคริสตจักร หรือ องค์กรก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำพวกนี้เอื้อผลสร้างประโยชน์ที่ตนได้รับมากน้อยแค่ไหน คนกลุ่มนี้อยู่เพราะได้ผลประโยชน์ และพร้อมที่จะไปเมื่อองค์กรอื่นให้ผลประโยชน์ที่มากกว่า หรือไม่ก็จะเกาะองค์กรอย่างเหนียวแน่นถ้าองค์กรนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่ตนจะได้ผลประโยชน์ในขณะนี้ ถ้าท่านเป็นผู้นำในคริสตจักรและองค์ที่มีผู้คนอย่างนี้มากๆ ท่านจะบริหารจัดการอย่างไรดี แต่บ่อยครั้งที่ผู้บริหารต้องยอมเอาใจคนพวกนี้ไว้เพื่อให้เป็นเสียงสนับสนุนการบริหารของตน ถูกผิดค่อยว่ากันเมื่อจำเป็น

ในฐานะที่เป็นผู้นำในองค์กรคริสเตียน และเป็นคริสเตียนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักชัดว่า
1. คริสตจักรและองค์กรภายใต้สภาคริสตจักรในประเทศไทยเป็นของพระเจ้า
2. ในฐานะที่เป็นผู้นำ ผู้บริหาร คริสตจักร และ องค์กร ท่านกำลังทำงานรับใช้พระเจ้าตามพระประสงค์ของพระองค์ ในองค์กรที่พระองค์มอบหมายให้ท่านรับผิดชอบอยู่ในขณะนี้
3. ในทุกวิกฤติปัญหาเป็นเวลาและโอกาสที่พระเจ้าจะทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ เพื่อให้ผู้คนในคริสตจักรและองค์กรได้เติบโตขึ้นในชีวิตทุกด้าน (ถ้าคนในองค์กรเหล่านั้น เชื่อฟัง และ ยอมทำตาม)
4. เราในฐานะผู้นำ และ ผู้ร่วมในองค์กรทุกคนได้รับเกียรติให้ร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าผ่านการงาน และชีวิตของคริสตจักร และ องค์กรเหล่านั้น
5. เพื่อผู้คนรอบข้างที่คริสตจักรและองค์กรเข้าไปอยู่เข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องจะได้เห็นและสัมผัสถึงความรัก เมตตา และ การเอาใจใส่ของพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันของเขา และรับเอาข่าวดีของพระคริสต์เป็นแก่นหลักในชีวิตของตน

ดังนั้น ปัญหา และ วิกฤติที่เกิดขึ้นผู้นำต้องนำผู้คนในองค์กร “เผชิญหน้ากับความเป็นจริงของปัญหาและวิกฤตินั้น” ด้วยการเข้าใจปัญหาและวิกฤติเหล่านั้นอย่างถูกต้องถ่องแท้ ด้วยการเริ่มต้นก้าวแรกในการ “เผชิญหน้า” หรือ การเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า เพื่อแสวงหาความจริง ความเข้าใจ และพระปัญญาจากพระองค์ เพราะในช่วงสถานการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้า เราต้องรับ “พระบัญชา” และ เรียนรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์เปิดโอกาสให้เราแต่ละคนเข้าไปมีส่วนร่วม

เมื่อเกิดปัญหาและวิกฤติขึ้นในคริสตจักรและองค์กรคริสเตียนอย่าพยายามทำให้ปัญหาและวิกฤติเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่อง “ความขัดแย้งหรือผลประโยชน์ส่วนตัว” แต่ต้องมองให้เห็นชัดว่านี่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าและแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ในพระราชกิจนั้น

ตัวอย่างชีวิตจากคนในพระคัมภีร์ เช่น

ยาโคบ คิดแล้วคิดอีกจนในที่สุดตัดสินใจเผชิญหน้ากับเอซาวผู้พี่ ที่ตนเคยสร้างบาดแผลชีวิตไว้ แต่การกลับมาเผชิญหน้าในครั้งนี้ เขาแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าก่อน พระสัญญาพระเจ้าจะอยู่กับเขา เขาจึงมีความกล้าในการเผชิญหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องทั้งสองจึงได้รับการรื้อฟื้น เย็บชุน และปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ แต่สิ่งแรกที่ยาโคบจะต้องริเริ่มคือ เดินทางกลับมาหาพี่เอซาว (ปฐมกาล 27:41-45; 33:1-11)

บุตรคนเล็ก เมื่อบุตรคนเล็กตัดสินใจกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับพ่อ ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทำใจพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง เผชิญหน้ากับชีวิตที่จะไม่เหมือนเดิม ทำใจไม่ยึดติดกับฐานะตำแหน่ง ความสัมพันธ์ที่มีเกียรติ คุณค่าของชีวิต แต่สัมพันธภาพและโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่ได้เกิดขึ้น เพราะผู้เป็นพ่อมองว่าลูกคนเล็กหายไปแล้วแต่กลับพบใหม่อีก ตายไปแล้วกลับมีชีวิตใหม่อีก แต่สิ่งแรกที่บุตรคนเล็กต้องเริ่มต้นคือหันกลับแล้วเดินทางกลับบ้านมาหาพ่อ (ลูกา 15:11-32)

โมเสส เมื่อต้องพบกับความล้มเหลวในความมุ่งมั่นตั้งใจที่อยากจะช่วยอิสราเอลพี่น้องของตนให้หลุดรอดพ้นจากการเป็นทาสของอียิปต์ และต้องหนีไปหลบซ่อนที่มีเดียนนานกว่า 40 ปี แต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า เขากลับไม่มั่นใจที่จะกลับไปทำภารกิจที่เคยล้มเหลวอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเจ้าสำแดงและสัญญาว่าพระองค์จะทรงนำในครั้งนี้ สิ่งที่โมเสสต้องเผชิญหน้าเพื่ออิสราเอลจะได้ออกจากการเป็นทาสในอียิปต์คือ การเผชิญหน้ากับอำนาจเก่าของฟาโรห์ผู้มีอำนาจกดขี่อิสราเอลอยู่ แต่ผู้ที่จะประลองยุทธกับฟาโรห์มิใช่โมเสสอีกต่อไป แต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ต่างหากจะต่อกรกับฟาโรห์ แต่สิ่งที่โมเสสต้องกระทำสิ่งแรกคือ กลับไปเผชิญหน้ากับฟาโรห์ (อพยพ 2:11-15; 3:1-22)

พระคริสต์ เซาโลผู้ที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อการปกป้องศาสนายิว และมองเห็นว่าขบวนการของพระเยซูคริสต์คือเสี้ยนหนามบ่อนทำลายความมั่นคงศาสนายิวและแผ่นดินอิสราเอล ที่จะต้องขจัดและทำลายให้สิ้นซาก พระเยซูคริสต์เลือกที่จะเผชิญหน้ากับเซาโลบนเส้นทางไปเมืองดามัสกัสในกลางวันแสกๆ วันหนึ่ง เพื่อที่จะทรงเปลี่ยนแปลงความคิดความเข้าใจของเซาโลให้ถูกต้อง ในการเผชิญหน้าครั้งนั้น เซาโลเกิดความเข้าใจใหม่ ชีวิตเปลี่ยนแปลงจากผู้มุ่งทำร้ายขบวนการของพระเยซูคริสต์ กลับเป็นทาสรับใช้พระคริสต์เผยแผ่พระกิตติคุณออกอย่างกว้างไกลในบรรดาคนต่างชาติ สิ่งที่พระคริสต์ทรงริเริ่มกระทำคือ เผชิญหน้ากับเซาโลบนเส้นทางไปดามัสกัส (กิจการ 8:1-3; 9:1-25)

ถ้าไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นความจริง การแก้ไข การเปลี่ยนแปลง ความหวัง และโอกาสใหม่ ชีวิตใหม่ก็จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เป็นย่างก้าวแรกที่ยากลำบากที่สุดที่จะเริ่มต้น แต่ความสำเร็จมิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงเท่านั้น

การเผชิญหน้ากับความจริงในชีวิตของแต่ละคนนั้นได้รับความกล้าหาญมั่นใจจากพระเจ้า และที่สำคัญคือ เมื่อเริ่มเผชิญหน้าแล้วสิ่งต่างๆ จะได้รับการแก้ไขเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงเพราะพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในสถานการณ์ความจริงเหล่านั้นตามพระประสงค์ของพระองค์ ส่วนเรายอมเป็นผู้ร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในครั้งนั้นๆ นี่หมายความว่าที่ต้องกล้าพอที่เลือกแสวงหาพระพักตร์พระเจ้า และเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายอย่าลืมตัวกระโดดขึ้นควบคุมบังเหียนชีวิตด้วยตนเองอีกล่ะ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-289-4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น