นักคิดนักปรัชญา
และ นักจิตวิทยาหลายคนลงความเห็นว่า
ที่มนุษย์เราต้องมีศาสนาเพราะความกลัวในชีวิตของมนุษย์ เพราะมนุษย์กลัว มนุษย์จึงพยายามที่จะเรียนรู้ในการกระทำตนให้
“พระเจ้า” ที่มีพลังอำนาจเหนือเขาพึงพอใจ
ไม่ว่าด้วยการกระทำศาสนพิธีต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมา
หรือพยายามทำตามบทบัญญัติและศีลธรรมที่มีในคัมภีร์ ทั้งสิ้นนี้สร้างกรอบคิด กรอบเชื่อ
และมุมมองให้มนุษย์ “กลัว” พระองค์
มนุษย์จึงเชื่อในศาสนาที่ตนยึดถือด้วย
“ความกลัว” ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่ศาสนา
ตามที่ “พระเจ้า” ต้องการ
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า
ศาสนพิธี และ คำสอนกฏบัญญัติ ไม่สำคัญ!
แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ไม่ได้เชื่อวางใจพระเจ้า เพราะเรามีมุมมองต่อพระเจ้าด้วย
“ความกลัว”?
เมื่อมนุษย์มี
“มุมมองพระเจ้า” ด้วยความกลัว
พระเจ้าจึงเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์
แยกตัวออกเฉพาะ(เพื่อที่พระองค์จะไม่ได้เกลือกกลั้ว
แปดเปื้อนด้วยความบาปผิดของมนุษย์) มนุษย์จึงทำศาสนพิธีเพื่อที่จะ
“ชำระตนให้บริสุทธิ์” ทำตนให้พระเจ้า
“พึงพอใจ” พยายามสร้างตนเองให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า? ด้วยมุมมองเช่นนี้ คริสตชนจึงอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า
จึงไม่แปลกที่ว่า
คริสตชนส่วนมากยังมองว่าพระเจ้าอยู่ในสวรรค์อันไกลโพ้น ที่ต้องแยกออกจากโลกนี้ แล้วพยายามทำตนด้วยมุมมองและความเชื่อว่า “ตายแล้วตนจะได้ไปสวรรค์” พระเจ้าของคริสตชนกลุ่มใหญ่นี้ช่างอยู่ห่างไกล เขามีความหวังเมื่อชีวิตตายไปเท่านั้น?
แต่คริสต์มาสเป็นเรื่องราว
เมื่อพระเจ้าทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าลงมาจากสวรรค์สละบัลลังก์ของพระองค์ในสวรรค์
มาเป็นมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางคนยากไร้ ต่ำต้อย เล็กน้อย ขอให้สังเกตว่า ในเรื่องราวการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ เป็นการที่บอกมนุษย์โลกนี้ให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อพระเจ้า
ทูตสวรรค์บอกมนุษย์เหล่านี้ว่า
ให้เลิกมีมุมมองความเชื่อพระเจ้าแบบเดิม ๆ เสียใหม่ พระเจ้าที่สร้างแต่ความกลัว
ห่างไกล
คอยมองเพื่อจะตัดสินจับผิดเรา
พระเจ้าที่อยู่ห่างไกลจากมนุษย์ มนุษย์จะเข้าใกล้พระเจ้าได้เพราะความพยายาม
และ การทำตนให้บริสุทธิ์ สอดคล้องกับบทบัญญัติ และสภาพของพระเจ้า
ทูตสวรรค์บอกให้มนุษย์เปลี่ยนมุมมองใหม่ ให้มีมุมมองความเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักมนุษย์ พระองค์ต้องการอยู่ใกล้ชิดและมีชีวิตท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ไม่ได้รอมนุษย์ทำตนหรือพยายามที่จะดำเนินชีวิตเข้ากับพระองค์ได้
แต่พระเจ้าคือผู้ที่ทำตนเองให้เข้ามาใกล้ชิด ทนทุกข์ร่วมสุขกับมนุษย์ อยู่เคียงข้างมนุษย์อย่างไร้เงื่อนไข แต่เปี่ยมด้วยพระประสงค์ที่ต้องการ หนุนเสริม
เพิ่มพลัง และทรงช่วยกอบกู้ให้มนุษย์หลุดรอดออกจากอำนาจบาปชั่วที่ตะครุบ ครอบงำ
และฉุดกระชากชีวิตมนุษย์ไว้
แล้วเคียงข้างมนุษย์เสริมสร้างชีวิตมนุษย์ขึ้นใหม่
เป็นมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า และมีชีวิตที่มีความหมาย
ดังนั้น เราจึงพบว่า คำที่กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกในเหตุการณ์การมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์คือ “อย่ากลัวเลย” (กล่าวแก่ เศคาริยาห์ มารีย์ โยเซฟ และคนเลี้ยงแกะ)
ให้มนุษย์เลิกมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าด้วยความกลัว
เมื่อทูตสวรรค์มาปรากฏแก่มารีย์ที่เป็นสาวอยู่ คำทักทายแรกคือ “เธอผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานมาก
จงชื่นชมยินดีเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับเธอ...”
แต่คำทักทายนี้ทำให้มารีย์ “ตกใจ” ทำให้มารีย์เกิดความกลัว
เป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และยังสถิตอยู่กับเธอ แล้วบอกให้เธอชื่นชมยินดี
มุมมองใหม่ที่ทูตสวรรค์นำมาทำให้มารีย์ตกใจ และคิดในใจว่าเป็นไปได้อย่างไร!
ทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอต่อไปว่า “มารีย์เอ๋ย
อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน...”
ทูตสวรรค์บอกให้มารีย์เปลี่ยนมุมมองที่ตนมองพระเจ้าใหม่ พระเจ้ามิได้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่น่ากลัว
น่าเกรงขาม อยู่ห่างไกล
แต่พระเจ้าทรงมาอยู่ใกล้ชิดและโปรดปรานเธอ และมีแผนการและพระประสงค์ในชีวิตของเธอ (ลูกา 1:28-33 มตฐ.) พระเจ้ากำลังทำพระราชกิจให้สำเร็จในชีวิตของมารีย์
มุมมองความเชื่อใหม่ที่ทูตสวรรค์นำมาในคริสต์มาสคือ พระเจ้าทรงลงมาจากสวรรค์อยู่ในชีวิตของมนุษย์
เพื่อที่จะกระทำพระราชกิจให้สำเร็จในชีวิตของมนุษย์คน ๆ นั้น!
สำหรับคริสตชนแล้วมีมุมมองต่อพระเจ้าว่า ทรงอยู่เคียงข้าง ทรงอยู่ในชีวิต และทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเราแต่ละคน และในแต่ละสังคมชุมชน
สำหรับคริสตชนแล้วมีมุมมองความสำเร็จในชีวิตว่า
พระเจ้ามีแผนการและพระประสงค์ในชีวิตของเราแต่ละคน พระองค์จะทรงเปิดเผย ทรงเป็นกำลังหนุนเสริม และทรงกระทำพระราชกิของพระองค์ในชีวิต และ ผ่านชีวิตของเรา
เลิกเถิดครับ...ที่จะพยายามช่วยตนเอง กระทำตนเองเพื่อพยายามจะขึ้นไปสวรรค์อยู่กับพระเจ้า!
แต่ถ้ายัง
“ดันทุรัง” ทำตนเองให้ได้ไปสวรรค์
โปรดระวังเราอาจจะต้องสวนทางกับพระองค์
สวนทางพระประสงค์ของพระองค์ไงครับ?
เพราะพระเจ้าเสด็จมาในโลกนี้ ทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง
และทรงกำลังกระทำงานของพระองค์ในแผ่นดินโลกนี้ เพื่อนำการครอบครองและแผ่นดินของพระองค์ให้สำเร็จเสร็จครบในสังคมมนุษย์โลก
เมื่อทูตสวรรค์ไปบอกข่าวการบังเกิดของพระเยซูคริสต์แก่คนเลี้ยงแกะ สิ่งแรกที่ทูตสวรรค์บอกคนเลี้ยงแกะคือ
“อย่ากลัวเลย
เพราะเรามีข่าวดีมายังท่าน”
และในที่สุดทูตสวรรค์ให้มุมมองเกี่ยวกับพระเจ้าว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก
สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์โปรดปรานนั้น” (ลูกา 2:8-14 มตฐ.)
ข่าวดีของคริสต์มาสคือ วันนี้พระเจ้าอยู่เคียงข้างท่าน อยู่ในชีวิตท่าน พระองค์ประสงค์จะกระทำความสำเร็จในชีวิตท่านตามพระประสงค์ของพระองค์ครับ!
วันนี้ท่านพร้อมจะเปลี่ยนมุมมองของท่านเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่ครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น