...บรรดาคนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า
“ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งกับเรา”
เขาก็รีบไป
แล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า
เมื่อพวกเขาเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น
คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา (ลูกา 2:15-18
มตฐ.)
ผู้เลี้ยงแกะประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์จากประสบการณ์ตรงที่พวกเขาได้ประสบแก่ผู้คนที่พวกเขาพบเห็น
แต่ไม่ใช่ประกาศข่าวดีตามหลักการความเชื่อที่ขาดประสบการณ์ตรงของคนที่ประกาศฯ ที่ขาดน้ำหนักหลักฐานความน่าเชื่อถือ คนเลี้ยงแกะสามารถชี้ประจักษ์เหตุการณ์ที่พวกเขาพบเห็นในเวลานั้น จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริงในเวลานั้น
และทุกคนที่ต้องการรู้จริงสามารถมีประสบการณ์ตรงกับเหตุการณ์เช่นนั้นได้
การประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงเป็นการประกาศจากปากต่อปาก จากชีวิตถึงชีวิต
การประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ มิใช่เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่ง หรือ
พันธกิจหนึ่งที่คริสตชนพึงกระทำเท่านั้น
แต่เป็นเหตุการณ์ในชีวิตจริงของเราที่ได้สัมผัสมีประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์ แล้วพบสิ่งดี ๆ มีคุณค่าที่ต้องการจะแบ่งปันบอกต่อคนรอบข้างที่เราพบประสบ
เป็นการประกาศข่าวดีของพระคริสต์ที่มาจากประสบการณ์ตรงและแรงบันดาลใจจากก้นบึ้งจิตใจของเรา จากความปรารถนาที่ต้องการให้คนอื่น ๆ ได้สิ่งดี
ๆ ที่เราได้รับในชีวิต
การประกาศข่าวดีเช่นนี้จึงเกิดจากจิตใจรักเมตตา การประกาศข่าวดีฯ เช่นนี้กระทำได้ในทุกสถานการณ์และทุกบริบทชีวิตจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตคริสตชนของเราแต่ละคน
คนเลี้ยงแกะมิได้
“ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นอาชีพ”
เพราะอาชีพของเขาคือเลี้ยงดูแลรักษาฝูงแกะ แต่เขาประกาศข่าวดีที่เป็นประสบการณ์ตรงในวิถีการดำเนินชีวิตของเขา
เมื่อเขามาพบเหตุการณ์ความจริงที่ยิ่งใหญ่ตามที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่เขาแล้ว เมื่อเดินทางกลับไปที่ฝูงแกะเขาบอกกล่าวเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เขาพบเห็นแก่ผู้คนรอบข้าง
คนเลี้ยงแกะประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในวิถีชีวิตประจำวันของเขา
สิ่งที่น่าสังเกตคือ
คนเลี้ยงแกะประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อัศจรรย์ในชีวิตของพวกเขา พวกเขาตื่นเต้น ชื่นชมยินดี
มีจิตใจที่ขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้าจนไม่สามารถเก็บงำเก็บเงียบไว้คนเดียวได้
พวกเขาจึงป่าวประกาศถึงข่าวดีที่กำลังเกิดขึ้น
คนเลี้ยงแกะประกาศข่าวดีเพราะเขาประสบพบเจอมีประสบการณ์ตรงกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น เขาจึงประกาศบอกเล่าให้คนอื่นเพื่อจะได้มีประสบการณ์ชีวิตอย่างพวกเขา แต่คริสตชนปัจจุบันบางพวกคนบางกลุ่มทุ่มเทการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ด้วยการสร้างเหตุการณ์ หรือ “อิเวนต์ใหญ่ ๆ ”
เพื่อเป็นเครื่องดึงดูดความสนใจของผู้คนให้มาร่วมใน “อิเวนต์” นั้น
ดูเป็นกระบวนการที่สวนทางกัน
คนเลี้ยงแกะประกาศข่าวดีจากประสบการณ์ตรงที่พวกเขาได้รับจากพระราชกิจของพระเจ้า
แล้วบอกเล่าข่าวดีเหล่านั้นให้ผู้คนรับรู้และให้ไปพบเจอพระราชกิจที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้าด้วยชีวิตของแต่ละคนเอง
คนเลี้ยงแกะไม่ได้สร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนสนใจที่ตัวพวกเขา แต่เขาบอกเล่าให้ผู้คนสนใจพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำตามที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่เขา และทุกคนสามารถเข้าถึงเหตุการณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าได้ตามสถานการณ์และสภาพชีวิตของตน
คนส่วนใหญ่จะสนใจหาแนวทางการแก้ปัญหาชีวิตต่อเมื่อเขาประสบกับ
“วิกฤติชีวิต” และถ้าเขาพบว่า
ข่าวดีของพระเยซูคริสต์สามารถช่วยเขาให้เผชิญหน้าฝ่าฟันผ่านทะลุวิกฤตินั้นไปได้
ประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในครั้งนั้นจะกลับกลายเป็น
“ข่าวดีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเขา”
และนี่คือข่าวดีที่เขาจะบอกเล่าแก่คนอื่น ๆ ต่อไป
(ดังตัวอย่างที่ผู้ประพันธ์ สดุดี บทที่ 103
กล่าวไว้)
ในคริสต์มาสและปีใหม่นี้ เรามีข่าวดีของพระคริสต์ในชีวิตของเราแล้วหรือยัง?
เรามีประสบการณ์ตรงกับพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตของเราในเรื่องอะไร?
เป็นข่าวดีแห่งพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่เราจะบอกเล่าแก่ใครได้บ้าง? คริสต์มาสและปีใหม่นี้ท่านปรารถนาให้ใครบ้างที่จะมีประสบการณ์ข่าวดีในชีวิตกับพระคริสต์? ท่านรู้หรือยังว่า
พระคริสต์ทรงเรียกท่านให้ทำอะไร? และ ทำอย่างไรในเรื่องนี้?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น