22 ธันวาคม 2557

เวลาที่เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลง

เราไม่สามารถที่แก้ปัญหาระยะยาวได้เสมอไป  และก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถแก้การดำเนินการขององค์กร/คริสตจักรได้ทุกเรื่อง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องที่กระทำผิดนั้นฝังรากลึกในองค์กรและคริสตจักรเป็นเวลานาน   จนเป็นความคุ้นชินของคนในชุมชนนั้นไปแล้ว

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่ละเรื่องในองค์กรหรือในคริสตจักรจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงเวลาที่เหมาะในการเปลี่ยนแปลงในแต่ละเรื่อง   หรือไม่ก็ต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ว่าในเวลานั้น ๆ ควรทำการเปลี่ยนแปลงในเรื่องอะไรก่อน   จากประสบการณ์เราอาจจะประมวลสรุปเป็นหลักการง่าย ๆ ว่า  มีอยู่ 3 โอกาสที่เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลง   

1.   ทันทีที่เห็นปัญหา

เวลาที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ หนัก ๆ คือเมื่อปัญหานั้นเกิดขึ้นแต่ยังไม่บานปลายใหญ่โต

การผัดผ่อน รีรอ หรือเฉื่อยชาในการแก้ปัญหามิได้ช่วยให้ปัญหานั้นหมดสิ้นไป  แต่มันยิ่งจะเลวร้ายมากขึ้น   และเพราะเรามองข้ามจนเรามองไม่เห็นปัญหานั้น   สถานการณ์ในเรื่องนั้นก็จะเลวร้ายลง   และความเลวร้ายนั้นจะไม่หายไปไหนแต่จะอยู่ที่นั่น   เมื่อเป็นอย่างนี้เราบางคนก็เลือกที่จะออกจากองค์กรหรือคริสตจักรแห่งนั้น   เพื่อไม่ต้องไปเจอะเจอ หรือ เผชิญหน้ากับปัญหาดังกล่าว

เราไม่ควรหลีกเลี่ยงปัญหา  หรือหาทางหลบลี้หลีกหนีจากปัญหา   แต่ให้เราเผชิญหน้าและหาทางแก้ปัญหานั้น

องค์กรและคริสตจักรที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้   ที่มีอาการที่ติดขัดเนื่องจากปัญหามิได้รับการแก้ไข  แม้จะมีสมาชิกเข้ามาใหม่มากเท่าใดก็จะมีอาการเป็นคริสตจักรถุงก้นรั่วที่สมาชิกใหม่เหล่านั้นต่างออกไปจากคริสตจักรในที่สุด   เพราะตัวปัญหาที่ถูกมองข้าม จนสมาชิกเก่า ๆ มองไม่เห็นปัญหา   หรือคุ้นชินกับมันจนไม่รู้สึกว่านั่นเป็นปัญหา   จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้สมาชิกใหม่ ๆ หรือคนทำงานดี ๆ ตัดสินใจออกจากองค์กรของตนไป

บางครั้ง คนที่มองเห็นปัญหาได้ชัดเจนจริง ๆ คือแขกหรือคนที่เข้ามาใหม่ในองค์กร/คริสตจักร   สมาชิก/คนทำงานดั้งเดิมจะต้องไม่ทำตนว่าตนเองอยู่คริสตจักรนี้ก่อนย่อมรู้จักคริสตจักรนี้มากกว่าคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเข้ามาใหม่   สายตาใหม่ ๆ สามารถมีมุมมองใหม่ ๆ ทำให้สามารถเห็นปัญหาที่หมักหมมหรือที่สมาชิก/คนทำงานเก่า ๆ มองข้ามและชาชินได้ชัดเจนกว่า   ผู้นำคริสตจักรที่ฉลาดเฉียบแหลมต้องฟังเสียงใหม่ ๆ เหล่านั้น   แล้วรู้เท่าทันปัญหาที่มีมาเนิ่นนานจนชาชินและหาทางแก้ปัญหาที่สั่งสมมาเป็นเวลาเนิ่นนานเหล่านั้น

ถ้าคริสตจักร/องค์กรแห่งนั้นมีศิษยาภิบาล/ผู้บริหารท่านใหม่   การแก้ไขปัญหาที่สั่งสมเนิ่นนานและมีอาการหนักหนาเหล่านั้นจะต้องใช้ปัญญา   และถ้าศิษยาภิบาล/ผู้บริหารได้รับการต่อต้านหรือขัดขวาง   ต้องไม่ยอมแพ้เลิกรา   แต่ให้ท่านเขียนบันทึกสิ่งเหล่านั้นไว้   เพื่อหาเวลา หรือ โอกาสที่เหมาะสมที่จะลงไปจัดการกับปัญหานั้นอีกครั้งหนึ่ง

2.   หลังจากที่เกิดวิกฤติปัญหานั้นทันที

ทันทีหลังวิกฤติที่เกิดขึ้น  ผู้คนส่วนมากจะสำนึกและตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง   ผู้นำที่ดีจะประคับประคองให้ “พายุร้าย” นั้นไม่ทำร้ายทำลายชีวิตผู้คนในชุมชน   แต่เขาจะต้องฉวยโอกาสหลัง “พายุร้าย” นั้น แก้ไข เปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสองขึ้นอีก

เมื่อเกิดเหตุวิกฤติขึ้นในคริสตจักร   ผู้นำคริสตจักรจะต้องชวนให้ชุมชนคริสตจักรเริ่มรู้จักการประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทันทีที่เกิดสถานการณ์ที่ใหญ่ใหม่ ๆ ขึ้น   และหลังจากสถานการณ์นั้น ให้ร่วมกันสะท้อนคิดทันที ว่า   ถ้าสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้เกิดในคริสตจักรอีก  ชุมชนคริสตจักรจะรับมือและจัดการอย่างไร   เพื่อจะสามารถรับมือและจัดการสถานการณ์วิกฤตินั้นได้ดีกว่าที่ผ่านมา   แล้วให้ช่วยกันเตรียมการรับมือและจัดการไว้อย่างเป็นขั้นตอน ชัดเจน  และเป็นรูปธรรม

ในเชิงจิตวิทยา   เมื่อคนเรากำลังตื่นตระหนกกับวิกฤติที่เกิดขึ้น  และในช่วงที่วิกฤติผ่านไปเนิ่นนานแล้ว  ทั้งสองช่วงเวลานี้ผู้คนไม่มีเวลาที่จะคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ   เพราะขณะที่กำลังตื่นตระหนกเขามีแต่อารมณ์ที่ต้องการหาทางเอาตัวรอด   และหลายคนอยู่ในอารมณ์สับสนุวุ่นวาย   ไม่สามารถใช้ความคิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล    และประสบการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นที่ผ่านไปเนิ่นนานแล้วจนบางครั้งผู้คนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์นั้นลืม หรือ เฉยเมยกับเหตุการณ์นั้น   ทั้งสองสถานการณ์ดังกล่าวไม่เหมาะที่จะให้คนในชุมชนนั้นมาช่วยกันคิดและวางแผนรับมือจัดการกับสถานการณ์วิกฤติดังกล่าว

แต่ถ้าสถานการณ์วิกฤตินั้น ๆ เพิ่งเสร็จและผ่านพ้นจากการรับมือของผู้คน   ทุกคนยังมีภาพประทับใจจากเหตุการณ์นั้นอย่างชัดเจน   พร้อมทั้งยังตรึงตาตรึงใจและจำอารมณ์ความรู้สึกในวิกฤตินั้น   และยังจำได้ว่า ได้ช่วยกันจัดการรับมืออย่างไร   และเกิดผลอย่างไรบ้างจากการรับมือและการจัดการของตน   บรรยากาศเช่นนั้นเป็นเวลาที่คนกลุ่มนี้จะนั่งลงและสะท้อนคิดร่วมกัน   ทบทวนสรุปและประเมินผลการจัดการวิกฤตินั้น  พร้อมทั้งสามารถมองหาวิธีการจัดการอย่างไรที่จะทำให้เกิดผลดีในการแก้ปัญหา   การจัดการแบบไหนที่ทำให้เกิดผลเสีย หรือผลร้ายตามมา   การจัดการแบบไหนที่ไม่ได้ผลเลย   และร่วมกันพิจารณาว่า  ถ้าเกิดวิกฤติเช่นนี้ในคริสตจักรอีกคริสตจักรจะมีวิธีการ ขั้นตอน และกระบวนการจัดการกับวิกฤติเช่นนี้อย่างไร   และบันทึกแผนการจัดการเหล่านั้นไว้

3.   เมื่อทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี

แทนที่จะรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยมาคิดวางแผนการแก้ปัญหา   แต่ให้เราจัดการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา   คริสตจักรที่แข็งแรงย่อมมุ่งมองที่จะทำในสิ่งที่ทำดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น   คริสตจักรนั้นจะไม่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยหาทางแก้ปัญหา   คริสตจักรนั้นจะสนใจตรวจสอบตลอดเวลาที่จะทำการแก้ไข  ป้องกัน หรือ ทำให้ดีกว่าเดิมก่อนที่จะปล่อยให้คริสตจักรเกิดปัญหา

อะไรที่สามารถจัดการและป้องกันเป็นสิ่งที่คริสตจักรพึงกระทำล่วงหน้า

อะไรที่คริสตจักรเห็นแนวโน้มจะทำให้เกิดปัญหา หรือ เป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยให้จัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทันที

และในเวลาที่คริสตจักรกำลังขับเคลื่อนไปได้อย่างดี   ไม่ได้หมายความว่าคริสตจักรไม่มีปัญหา   แต่คนในคริสตจักรมุ่งมองและให้ความสนใจไปที่ผลงานและความสำเร็จ   จึงทำให้ไม่สามารถมองปัญหาที่กำลังก่อตัวขึ้น   แต่กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อปัญหาเหล่านั้นทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายเสียหายแก่ชุมชนผู้คนในคริสตจักรแล้ว

คริสตจักรเปรียบได้กับร่างกายของคนเรา    ในเวลาที่ร่างกายของเราแข็งแรงนั้นไม่ได้หมายความว่า  ไม่มีเชื้อโรค หรือ โรคร้ายที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา หรือ ที่กำลังแทรกเข้าร่างกายของเรา   ดังนั้น  เมื่อร่างกายที่ยังแข็งแรงอยู่เราต้องทำให้เรามีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง   ที่จะป้องกันและกำจัดเชื้อโรคที่แทรกซึมเข้าในร่างกายของเรา   และหาทุกหนทางที่จะป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของเราได้สำเร็จ    เราจะต้องไม่รอให้เราเจ็บป่วยเพราะการทำร้ายและทำลายของเชื้อโรคที่เข้าไปในร่างกายของเราแล้วค่อยมารักษา   เพราะในเวลานั้น  ระบบภูมิคุ้มกันของเราได้อ่อนแอลงไปแล้ว   ร่างกายของเรากำลังอ่อนกำลังเพราะพิษร้ายจากเชื้อโรค   ให้เราเลือกที่จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงที่สุด   และจัดการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคสามารถแทรกตัวเข้าในร่างกายของเรา   หรือถ้ามันเข้าไปแล้วให้จัดการกับมันทันที

คริสตจักรก็เช่นเดียวกับร่างกายของคนเราครับ   ให้เรารับมือและจัดการเมื่อร่างกายของเรายังแข็งแรงอยู่จะเป็นการง่ายกว่า และ เกิดผลกว่ารอให้เกิดสิ่งเร็วร้ายแล้วค่อยมาหาทางแก้ครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น