เมื่อผู้นำคริสตจักรพูดถึงความรู้สึกว่าคริสตจักร
“ติดหล่ม” ส่วนใหญ่จะพูดถึงอาการของสิ่งต่อไปนี้
- สมาชิกคริสตจักรที่มาร่วมมีจำนวนไม่เพิ่มขึ้น
- จำนวนเงินที่ถวายไม่สมดุลกับจำนวนคนที่เข้ามาร่วมนมัสการ
- พันธกิจที่คริสตจักรดูเซ็ง ๆ เดิม ๆ น่าเบื่อ หรือ คริสตจักรไม่สามารถเข้าถึงผู้คนอย่างที่คาดหวังไว้
ในภาวะเช่นนี้ผู้นำคริสตจักรมักถามว่า “เราจะทำอะไรดีที่จะเอาชนะอุปสรรคที่ทำให้คริสตจักรหยุด/ชะงักในการเพิ่มพูน?” หรือ “เราจะทำอะไรดีที่จะช่วยให้คริสตจักรมีคนมาร่วมเพิ่มมากขึ้น?” เป็นการง่ายที่เรามักรีบกระโจนลงไปจัดทำแผนยุทธศาสตร์ที่จะเอาชนะอุปสรรคที่มาขวางกั้นการเพิ่มพูนของคริสตจักร เกือบทุกรายที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำคริสตจักรจะแสวงหาทางที่จะขจัดอุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ แต่หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นมันเป็นเหมือนการหนีเสือปะจระเข้ พังกำแพงอุปสรรคหนึ่ง แต่กลับไปชนกับอีกกำแพงที่ขวางอยู่ข้างหน้า
ผู้นำคริสตจักรที่ให้ความสำคัญมุ่งเน้นที่จะหาทางเอาชนะอุปสรรคที่ทำให้คริสตจักรไม่เพิ่มพูนเท่านั้น
กำลังหลงทางในการรับมือหรือการจัดการกับปัญหาที่ “คริสตจักรติดหล่ม” สิ่งที่ผู้นำคริสตจักรควรพิจารณาคือ เปลี่ยนจากกรอบคิดการมุ่งเน้นที่จะทำให้คริสตจักรเกิดการเพิ่มพูนด้วยแผนระยะสั้นไปสู่การให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ทีมงานอภิบาล
และ สมาชิกคริสตจักร ซึ่งเป็นแผนระยะยาว
การมุ่งเน้นเสริมสร้างความเข้มแข็งของคริสตจักร
กับ การสร้างให้คริสตจักรเติบโตเพิ่มพูนต่างกันอย่างไร?
การมุ่งเน้นในการสร้างให้คริสตจักรเติบโตเพิ่มพูน มักเป็นการที่คิดว่า “คริสตจักรจะทำอะไรดี?” มากกว่าที่จะคิดพิจารณาว่า “คริสตจักรมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร?”
ซึ่งคริสตจักรส่วนใหญ่ที่คิดในทำนองนี้ แต่การคิดพิจารณาแบบนี้มักไม่ช่วยให้คริสตจักรสามารถจัดการให้ทะลุทะลวงอุปสรรคปัญหาความน่าเบื่อหน่ายได้
แต่คริสตจักรต้องมาใส่ใจถึงวิถีการกระทำหรือวิถีวัฒนธรรมของคริสตจักร
ที่ทำซ้ำซากย่ำอยู่กับที่
และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคริสตจักรไม่มีความคิดร่วมที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งของสมาชิก
การที่คริสตจักรจะเอาชนะปัญหา “คริสตจักร เซ็ง
น่าเบื่อหน่าย ไม่มีชีวิตชีวา” มิใช่การมุ่งมองว่าจะทำอะไรที่จะทำให้คริสตจักรเพิ่มพูนขึ้น
แต่ต้องกลับมาใส่ใจมองหาว่า จะทำอย่างไรที่จะทำให้คริสตจักรเข็มแข็งขึ้น จึงมิใช่การแสวงหาว่าจะทำอะไรดี แต่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของคริสตจักรด้วยการใส่ใจเสริมสร้างสมาชิกและทีมงานอภิบาล
ให้การขยับขับเคลื่อนที่จะดันให้คริสตจักรขึ้นจากหล่มแห่งความแสนเซ็งน่าเบื่อหน่ายนั้น
7 วิธีที่ผู้นำจะช่วยคริสตจักรขึ้นจากหล่ม ด้วยการเปลี่ยนมุมมองที่มุ่งเน้นให้คริสตจักรเพิ่มพูนไปเป็นคริสตจักรที่เข้มแข็ง
- ประเมินวิถีวัฒนธรรมในคริสตจักร หรือ การทำพันธกิจของเรา เป็นการง่ายหรือความเคยชินอย่างมากที่เราจะมุ่งเน้นไปมุ่งมองเป้าหมายการทำพันธกิจ ที่คิดว่าจะทำให้เกิดการเติบโตเพิ่มพูนสมาชิกคริสตจักร แท้ที่จริงเป้าหมายมิใช่ว่าจะทำอย่างไรให้มีคนเพิ่มขึ้น แต่ควรใส่ใจวิถีวัฒนธรรม วิธีการทำพันธกิจของเรามากกว่า เราต้องเจาะลึกลงในวิถีวิสัยการทำพันธกิจในคริสตจักรของเรา
- เราต้องตรงไปตรงมา ในฐานะผู้นำ การเป็นคนเปิดเผย ปราศจากอคติเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่เราจะก้าวข้ามมุ่งขับเคลื่อนทะลุอุปสรรคที่ขวางกั้นพันธกิจที่เรากำลังทำ เราและทีมงานของเราต้องมีความสัมพันธ์แบบเปิดเผยตรงไปตรงมาในการสื่อสารในทีมงานอภิบาลคริสตจักร และ ในการทำงานร่วมกันทีมงานนั้น
- สร้างบรรยากาศที่รู้สึกปลอดภัย ในฐานะที่เราเป็นผู้นำ เป็นการง่ายที่เราจะพยายามยัดเยียดความคิด หรือ ทิศทางในการที่จะออกจากการติดหล่มแก่ทีมงานของเรา อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ล้อมรอบเราแต่ละคนมักจะเป็นคนหนึ่งที่มีความคิดที่ดีเยี่ยม แทนที่เราพยายามรีบเร่งจะหาข้อสรุปที่ดีสำหรับปัญหาที่เรากำลังพบ เราจะต้องเสริมสร้างบรรยากาศที่ทีมงานของเรารู้สึกปลอดภัยที่จะเสนอความคิดเห็น กระบวนการที่ท้าทาย และการยอมรับความล้มเหลว
- ตั้งคำถามที่ถูกต้อง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มิใช่ผู้นำที่รู้สารพัดคำตอบ แต่เป็นผู้นำที่สามารถตั้งคำถามที่ถูกต้อง เมื่อเราตั้งคำถามที่ถูกต้อง เราก็จะได้คำตอบที่สามารถเจาะทะลุเข้าถึงคำตอบที่ถูกต้องได้ง่ายขึ้น
- ยอมรับความจริงเที่ยงแท้ และ โปร่งใส บ่อยครั้งที่ผู้นำคริสตจักรที่ “ติดหล่ม” มักจะนำคริสตจักรบนจุดยืนที่มิใช่บริบท หรือ สถานการณ์ที่กำลังติดหล่มนั้น ตัวเขาอาจจะมีความคิดว่าจะนำทีมงาน/คริสตจักรอย่างไร อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่สำคัญคือการยอมรับความจริงถึงความอ่อนแอที่เรากำลังเป็นอยู่ด้วยกันในคริสตจักร ถ้าเรายอมรับถึงความอ่อนแอที่เรากำลังเป็นอยู่ขณะติดหล่มแล้ว ก็จะช่วยให้เราสามารถที่จะแยกแยะลงไปว่าเราจะแข็งแรงขึ้นได้อย่างไร จำเป็นที่เราจะต้องยอมรับความจริงที่เรากำลังเผชิญหน้า แล้วหาเพื่อนกลุ่มเล็กที่เราไว้วางใจและสามารถแบ่งปันกับเขาอย่างเปิดเผยด้วยความโปร่งใส ไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงซ่อนเร้นข้างหลัง
- หนุนเสริมเพิ่มพลังแก่คนในทีมงานของเรา ถ้าเราต้องการให้คริสตจักรมีความเข้มแข็งและเกิดผลที่แท้จริง เราจะต้องเป็นผู้นำที่หนุนเสริมเพิ่มพลังแก่คนในทีงานของเรา มิใช้ใช้เขาเป็นคนขับเคลื่อนงานพันธกิจตามสั่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า เราจะต้องทุ่มเทในการพัฒนาทีมงานของเรา และต้องร่วมกับทีมงานบ่มเพาะ หล่อหลอมและหนุนเสริมสมาชิกแต่ละคนให้เข้มแข็งด้วย
- หาจุดเริ่มและย่างก้าวที่เหมาะสมในสถานการณ์ของเรา บางครั้งจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราจะนำคริสตจักร “หลุดออกจากหล่ม” ที่กำลังติดแหงกอยู่ ด้วยการเริ่มที่จะทำให้ตนเองหลุดออกจากการติดหล่มนั้นก่อน ช่วงนี้เป็นเวลาที่สำคัญมากที่จะต้องทุ่มเทในการคิด วิเคราะห์ ใคร่ครวญ ในการอ่าน และการเขียนสิ่งที่คิดที่อ่านออกมาให้เห็นเป็นกระบวนการ หรือเชื่อมสัมพันธ์สิ่งที่พบและเข้าใจ ให้ความใส่ใจอย่างมากในการที่เราจะเรียนรู้จากบุคคลอื่น รวมทั้งเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานร่วมทีมของเรา สมาชิกที่เรานำด้วย ในที่นี้จำเป็นต้องฟังสมาชิกคริสตจักรอย่างใส่ใจ
ในปี ค.ศ. 2016
ผมหวังว่าคริสตจักรจะเลือกที่จะเสริมสร้างให้คริสตจักรเข้มแข็ง ซึ่งเมื่อสมาชิกเข้มแข็ง คริสตจักรก็จะเข้มแข็ง ถ้าเราเริ่มกระบวนการเสริมสร้าง
“ความเข้มแข็งของคริสตจักร” เราก็จะพบว่า
คริสตจักรก็จะเกิดผล และ การเติบโตเพิ่มพูนของคริสตจักรก็จะตามมา
คริสตจักรก็จะเกิดผล และ การเติบโตเพิ่มพูนของคริสตจักรก็จะตามมา
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น