13 เมษายน 2560

อิสเตอร์นี้...เลิกอยู่เพื่อพระคริสต์ และ แค่ทำดีเพื่อพระองค์เถอะ?

พระเยซูคริสต์เคยกล่าวไว้ว่า  “อาจจะมีคนที่ยอมพลีชีวิตเพื่อคนดี  แต่...”

ใช่ครับ...มีหลายต่อหลายคนที่รู้สึกว่า   ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำดีเพื่อบางคนที่เรารักเราบูชา... นั่นมิใช่สิ่งผิดแปลกประหลาดอะไร  แต่เป็นสิ่งดีด้วยซ้ำไป   เพราะเห็นแก่คนที่เรารักบูชา ทำให้เราต้องการเป็น “คนดี” บ้างอย่างคน ๆ นั้น   จึงไม่แปลกที่คริสตชนหลายคนจึงยืนยันว่าตนเองมีชีวิต “อยู่เพื่อพระคริสต์”

เมื่อพระคริสต์รับบัพติสมา   สิ่งสำคัญและมีคุณค่ายิ่งสำหรับพระองค์คือ   คำตรัสจากเบื้องบนที่ว่า  “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา  เราชอบใจท่านมาก...”   เสียงจากพระบิดาที่ชื่นชอบพระคริสต์คือ  “เป็นบุตรที่รัก”   เป็นบุตรที่มีความสัมพันธ์กับพระบิดา   เป็นบุตรที่ “อยู่กับพระบิดา”  มิใช่เป็นบุตรที่ “ทำดีเพื่อพระบิดา”

ความเข้าใจนี้จะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เล่าคำอุปมาเรื่อง “บุตรสองคน”   หรือที่เรามักชอบตั้งชื่ออุปมาเรื่องนี้ว่า “บุตรน้อยหลงหาย”   เขาหลงหายออกไปจากความสัมพันธ์กับพ่อในบ้านไประเริงชีวิตในเมืองไกล   แต่เมื่อเราอ่านอย่างใคร่ครวญแล้วเราพบด้วยว่า  “พี่ใหญ่ก็เป็นบุตรหลงหายด้วย”   และ เขาหลงหายในวังวนหรือเขาวงกตทรัพย์สมบัติในบ้านของพ่อ 

เมื่อพ่อชวนลูกคนโตมาร่วมงานชื่นชมยินดีกับการกลับมาของน้องเล็ก   พี่คนโตไม่พอใจและไม่ยอมเข้าร่วม(สัมพันธ์)กับพ่อและ “คนผลาญทรัพย์สมบัติด้วยการทำชั่ว”  แล้วยังมีหน้ากลับมาเสนอตัวกับพ่อ   นอกจากนั้น ลูกคนโตไม่พอใจการกระทำของพ่อที่เอาสมบัติในบ้านไปเลี้ยงดูจัดงานให้กับคนที่ทำชั่วอย่างน้อง

พี่ชายคนโตรู้สึกว่า   ตลอดชีวิตของตน “ทำดีเพื่อพ่อ”  ดูและบริหารจัดการทรัพย์สมบัติทั้งหลายในบ้านเพื่อพ่อ   แต่พ่อลำเอียงกลับเอาทรัพย์สมบัติที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของตนไปเลี้ยงฉลองน้องสารเลวคนนี้ที่เพิ่งกลับจากการผลาญทรัพย์สมบัติจนหมดเนื้อหมดตัว

แต่ผู้เป็นพ่อกลับมองว่า   ลูกคนเล็กที่หายไปนั้นกลับได้พบกันอีก   ตายไปแล้วแต่กลับมีชีวิต   ลูกคนเล็กไม่ได้กลับมาเพราะมีสิ่งดี ๆ เพื่อพ่อ   ชีวิตที่เคยตัดสินใจเดินห่างออกไปจากพ่อเพราะคิดว่าตนมีทรัพย์สมบัติมากมาย   แต่ต้องเดินกลับมาขออยู่กับพ่อเพราะหมดเนื้อหมดตัว   คุณค่าของบุตรน้อยในสายตาของพ่อคือ “เขาตายแล้วแต่กลับมีชีวิตอีก”   ช่างเป็นมุมมองที่แตกต่างราวฟ้ากับดินครับกับมุมมองของพี่คนโตที่ทำดีเพื่อพ่อ

ผู้เป็นพ่อดีใจที่ลูกคนเล็กกลับมาบ้าน   เพราะเขามาครั้งนี้เพื่อที่จะ “อยู่กับพ่อ”  มิใช่  “อยู่เพื่อพ่อ”   น่าสังเกตว่า  ลูกคนเล็กบอกว่าตนไม่สมควรที่จะเป็น “ลูกของพ่อ”   ขอเป็นเพียงคนใช้ในบ้านพ่อ   แต่ปรากฏว่า ผู้เป็นพ่อกลับตอบสนองคำกล่าวนั้นด้วยการให้คนใช้ทำทุกอย่างเพื่อแสดงให้เห็นชัดว่า ลูกคนเล็กกลับมาเป็น "บุตรที่รัก” ของพ่ออีกครั้งหนึ่ง

คริสตชนเมื่อกล่าวถึงพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์   เราท่านมักไปเน้นความสำคัญที่  “...นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์...”   แต่เรามักไม่ค่อยสนใจต่อพระสัญญายืนยันของพระคริสต์ที่ว่า  “นี่แน่ะ...เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายตลอดไปจนกว่าจะสิ้นยุค”   ใช่ครับเรามักให้ความสำคัญในสิ่งที่เราจะทำเพื่อพระคริสต์   มากกว่าการที่พระคริสต์ทรงอยู่กับเรา   ลองคิดใหม่อีกสักครั้งหนึ่งว่า   ถ้าพระคริสต์ไม่ได้อยู่กับเรา   แล้วเรามีน้ำยาอะไรกับการที่จะไปนำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์?

อิสเตอร์ปีนี้...เลิกทำดีเพื่อพระคริสต์เถิดครับ   แต่ให้เราเป็นชีวิตที่ “ตายแล้วแต่กลับมีชีวิตใหม่”  เป็นชีวิตที่อยู่กับพระคริสต์   เป็นลูกที่รักของพระบิดา”  อย่ามัวคิดที่จะนำคนอื่นให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์   แต่ตนเองกลับมีชีวิตที่มีช่องว่างในความสัมพันธ์กับพระองค์   ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หนีไปไหน   แต่ห่างไกลจากพ่อในบ้านหลังเดียวกัน?

สำหรับคริสตชนแล้ว   เรามิได้มุ่งเน้นความสำคัญในความสำเร็จของชีวิต   แต่เรามุ่งเน้นความสัมพันธ์ในชีวิต...   ทั้งความสัมพันธ์กับพระเจ้า   ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว   ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง   ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและสรรพสิ่งของพระเจ้า   และความสัมพันธ์กันตัวตนในตนเอง

อย่าหลงไปนะครับ   ที่มัวแต่เน้นความสำคัญของพระมหาบัญชาจนสำคัญยิ่งกว่า “พระคริสต์”   เน้นความสำเร็จ  มากกว่าความสัมพันธ์ที่พระเจ้าคาดหวังให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น