พระเยซูคริสต์เคยกล่าวไว้ว่า “อาจจะมีคนที่ยอมพลีชีวิตเพื่อคนดี แต่...”
ใช่ครับ...มีหลายต่อหลายคนที่รู้สึกว่า
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำดีเพื่อบางคนที่เรารักเราบูชา... นั่นมิใช่สิ่งผิดแปลกประหลาดอะไร แต่เป็นสิ่งดีด้วยซ้ำไป เพราะเห็นแก่คนที่เรารักบูชา
ทำให้เราต้องการเป็น “คนดี” บ้างอย่างคน ๆ นั้น
จึงไม่แปลกที่คริสตชนหลายคนจึงยืนยันว่าตนเองมีชีวิต “อยู่เพื่อพระคริสต์”
เมื่อพระคริสต์รับบัพติสมา สิ่งสำคัญและมีคุณค่ายิ่งสำหรับพระองค์คือ คำตรัสจากเบื้องบนที่ว่า “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก...” เสียงจากพระบิดาที่ชื่นชอบพระคริสต์คือ “เป็นบุตรที่รัก” เป็นบุตรที่มีความสัมพันธ์กับพระบิดา เป็นบุตรที่ “อยู่กับพระบิดา” มิใช่เป็นบุตรที่ “ทำดีเพื่อพระบิดา”
ความเข้าใจนี้จะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เล่าคำอุปมาเรื่อง
“บุตรสองคน”
หรือที่เรามักชอบตั้งชื่ออุปมาเรื่องนี้ว่า “บุตรน้อยหลงหาย”
เขาหลงหายออกไปจากความสัมพันธ์กับพ่อในบ้านไประเริงชีวิตในเมืองไกล แต่เมื่อเราอ่านอย่างใคร่ครวญแล้วเราพบด้วยว่า “พี่ใหญ่ก็เป็นบุตรหลงหายด้วย” และ
เขาหลงหายในวังวนหรือเขาวงกตทรัพย์สมบัติในบ้านของพ่อ
เมื่อพ่อชวนลูกคนโตมาร่วมงานชื่นชมยินดีกับการกลับมาของน้องเล็ก พี่คนโตไม่พอใจและไม่ยอมเข้าร่วม(สัมพันธ์)กับพ่อและ
“คนผลาญทรัพย์สมบัติด้วยการทำชั่ว” แล้วยังมีหน้ากลับมาเสนอตัวกับพ่อ นอกจากนั้น
ลูกคนโตไม่พอใจการกระทำของพ่อที่เอาสมบัติในบ้านไปเลี้ยงดูจัดงานให้กับคนที่ทำชั่วอย่างน้อง
พี่ชายคนโตรู้สึกว่า ตลอดชีวิตของตน “ทำดีเพื่อพ่อ”
ดูและบริหารจัดการทรัพย์สมบัติทั้งหลายในบ้านเพื่อพ่อ แต่พ่อลำเอียงกลับเอาทรัพย์สมบัติที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของตนไปเลี้ยงฉลองน้องสารเลวคนนี้ที่เพิ่งกลับจากการผลาญทรัพย์สมบัติจนหมดเนื้อหมดตัว
แต่ผู้เป็นพ่อกลับมองว่า ลูกคนเล็กที่หายไปนั้นกลับได้พบกันอีก ตายไปแล้วแต่กลับมีชีวิต ลูกคนเล็กไม่ได้กลับมาเพราะมีสิ่งดี ๆ เพื่อพ่อ ชีวิตที่เคยตัดสินใจเดินห่างออกไปจากพ่อเพราะคิดว่าตนมีทรัพย์สมบัติมากมาย
แต่ต้องเดินกลับมาขออยู่กับพ่อเพราะหมดเนื้อหมดตัว คุณค่าของบุตรน้อยในสายตาของพ่อคือ
“เขาตายแล้วแต่กลับมีชีวิตอีก”
ช่างเป็นมุมมองที่แตกต่างราวฟ้ากับดินครับกับมุมมองของพี่คนโตที่ทำดีเพื่อพ่อ
ผู้เป็นพ่อดีใจที่ลูกคนเล็กกลับมาบ้าน เพราะเขามาครั้งนี้เพื่อที่จะ
“อยู่กับพ่อ” มิใช่ “อยู่เพื่อพ่อ” น่าสังเกตว่า
ลูกคนเล็กบอกว่าตนไม่สมควรที่จะเป็น “ลูกของพ่อ” ขอเป็นเพียงคนใช้ในบ้านพ่อ แต่ปรากฏว่า ผู้เป็นพ่อกลับตอบสนองคำกล่าวนั้นด้วยการให้คนใช้ทำทุกอย่างเพื่อแสดงให้เห็นชัดว่า
ลูกคนเล็กกลับมาเป็น "บุตรที่รัก” ของพ่ออีกครั้งหนึ่ง
คริสตชนเมื่อกล่าวถึงพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ เราท่านมักไปเน้นความสำคัญที่ “...นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์...”
แต่เรามักไม่ค่อยสนใจต่อพระสัญญายืนยันของพระคริสต์ที่ว่า “นี่แน่ะ...เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายตลอดไปจนกว่าจะสิ้นยุค”
ใช่ครับเรามักให้ความสำคัญในสิ่งที่เราจะทำเพื่อพระคริสต์ มากกว่าการที่พระคริสต์ทรงอยู่กับเรา ลองคิดใหม่อีกสักครั้งหนึ่งว่า ถ้าพระคริสต์ไม่ได้อยู่กับเรา
แล้วเรามีน้ำยาอะไรกับการที่จะไปนำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์?
อิสเตอร์ปีนี้...เลิกทำดีเพื่อพระคริสต์เถิดครับ แต่ให้เราเป็นชีวิตที่
“ตายแล้วแต่กลับมีชีวิตใหม่”
เป็นชีวิตที่อยู่กับพระคริสต์
เป็นลูกที่รักของพระบิดา” อย่ามัวคิดที่จะนำคนอื่นให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์
แต่ตนเองกลับมีชีวิตที่มีช่องว่างในความสัมพันธ์กับพระองค์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หนีไปไหน แต่ห่างไกลจากพ่อในบ้านหลังเดียวกัน?
สำหรับคริสตชนแล้ว
เรามิได้มุ่งเน้นความสำคัญในความสำเร็จของชีวิต แต่เรามุ่งเน้นความสัมพันธ์ในชีวิต... ทั้งความสัมพันธ์กับพระเจ้า ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและสรรพสิ่งของพระเจ้า และความสัมพันธ์กันตัวตนในตนเอง
อย่าหลงไปนะครับ
ที่มัวแต่เน้นความสำคัญของพระมหาบัญชาจนสำคัญยิ่งกว่า “พระคริสต์” เน้นความสำเร็จ
มากกว่าความสัมพันธ์ที่พระเจ้าคาดหวังให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น