ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการให้ชีวิตของตนเป็นชีวิตที่อ่อนแอ อ่อนด้อย
อมทุกข์ไร้สุข
แต่ในความเป็นจริง
เราทุกคนต่างก็มีชีวิตที่เคยเผชิญกับชีวิตที่อ่อนเปลี้ย สิ้นพลัง และสิ้นหวัง
คนเราประสบพบกับชีวิตที่อ่อนแอในลักษณะต่าง ๆ เช่น ความอ่อนแอทางด้านร่างกาย เกิดบาดแผลในจิตใจ ต้องทนทุกข์ด้วยอารมณ์ที่ปวดร้าว ความสัมพันธ์ฉีกขาดบาดลึก การทำงานในด้านสมอง/ประสาทไม่ปกติ และ ฯลฯ
ความจริงก็คือ
เราแต่ละคนไม่สามารถหลบลี้หนีจากความทุกข์อันเกิดจากความอ่อนแอในลักษณะที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และที่ต้องเข้าใจชัดเจนคือ
พระเจ้าก็ไม่ประสงค์ที่จะให้ชีวิตของเราต้องประสบพบกับความอ่อนแอในชีวิตของเรา
แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ เมื่อต้องตกอยู่ในสภาพที่ชีวิตอ่อนกำลัง พระเจ้ามิได้ปล่อยให้เราต้องช่วยตนเอง
พึ่งตนเอง ที่จะเอาชนะความอ่อนแอของเราในชีวิตตามลำพัง แต่พระองค์กลับใช้ความอ่อนแอในชีวิตของเราเป็นโอกาสที่จะเสริมสร้างชีวิตที่อ่อนแอของเรากลับเข้มแข็ง
มีพลังขึ้น
ที่สำคัญเป็นสะพานที่เชื่อมต่อให้เราได้พบเจอ และ
สัมผัสกับพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเรา
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังทรงเสริมสร้างให้เรามีชีวิตเข้มแข็งและมีพลังที่จะใช้ชีวิตประจำวันของเราให้เกิดผลดีทั้งต่อผู้อื่นและตนเอง ตามพระประสงค์สำหรับชีวิตของเรา จากชีวิตที่อ่อนแอที่เรามองว่าไร้คุณค่า เปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่เข้มแข็งขึ้นเพื่อรับใช้ตามพระประสงค์ และนี่คือสายใยอันเหนียวแน่นที่ร้อยรัดตลอดเรื่องราวในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
พระเจ้าทรงเปลี่ยน “หุบเหวความอ่อนแอในชีวิต”
ที่เราไม่สามารถจัดการกับชีวิตของเราเองได้
ให้เป็นสะพานที่เชื่อมต่อ “สภาพชีวิตที่อ่อนแอทำอะไรไม่ได้”
ให้เราสามารถเดินข้ามไปยัง “สภาพชีวิตที่เราควรจะเป็น”
เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระราชกิจที่พระคริสต์ทรงกระทำ ไม่ว่าหญิงหลังโก่งในธรรมศาลา หรือ
ชายตาบอดที่ร้องขอความเมตตาจากพระคริสต์
หรือ
ชายที่ถูกผีสิงที่อาศัยในสุสาน หรือ
แม้แต่คนโรคเรื้อนที่ต้องระหกระเหินออกจากครอบครัวและสังคมของตนเอง เพราะความอ่อนแอของคนเหล่านี้และสังคมที่กระตุ้นผลักดันให้เขาต้องการการสัมผัสจากพระคริสต์ ด้วยความเมตตากรุณาของพระคริสต์
พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงความอ่อนแอในชีวิตของผู้คน ให้เป็นโอกาสที่เขาได้สัมผัสและประจักษ์ชัดถึงความรักเมตตาของพระเจ้า ให้ชีวิตของคนเหล่านี้ได้มีชีวิตที่เปลี่ยนไปสู่ชีวิตที่ควรจะเป็น ให้เปลี่ยนไปสู่ชีวิตที่พบคุณค่า
“มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคโลหิตตกมาสิบสองปีแล้ว
เธอทนทุกข์ลำบากมากกับหมอหลายคน
และสูญสิ้นทรัพย์ที่เธอมี แต่โรคนั้นก็ไม่ได้บรรเทา กลับยิ่งกำเริบหนักขึ้น เมื่อหญิงผู้นั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู
เธอก็เดินเข้าไปในฝูงชนที่มาทางข้างหลังพระองค์
และแตะต้องฉลองพระองค์ เพราะคิดว่า
“ถ้าฉันได้แตะต้องเพียงฉลองพระองค์ฉันก็จะหายโรค” ทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไป
และหญิงผู้นั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว” (มาระโก 5:27-29 มตฐ.)
หญิงโลหิตตกมา 12 ปี
หมดเนื้อหมดตัวกับการรักษาแต่ไม่สามารถหายได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
ผลักดันให้เขามีทางเลือกเพียงหวังในการรักษาของพระเยซูคริสต์ เธอตัดสินใจแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน ยื่นมือแตะชายฉลองของพระคริสต์ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งความรักเมตตาของพระคริสต์ เธอรู้ตัวว่าหายจากโรคโลหิตตก
จุดอ่อนแอในชีวิตของเธอได้รับการขจัดออกไปจากชีวิต แต่ที่สำคัญกว่านั้น เธอมีโอกาสที่จะกลับไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น
ๆ อย่างเป็นปกติ แต่ที่สำคัญกว่านั้น
เธอสัมผัสกับความจริงในความรักเมตตาของพระเจ้าที่เปลี่ยนสภาพและสถานะชีวิตของเธอไปอย่างสิ้นเชิง
ในวันนี้
เวลาใดก็ตามที่เราเผชิญกับชีวิตที่อ่อนแอ
ไม่รู้จะจัดการ หรือ ขจัดมันออกไปจากชีวิต โปรดตระหนักชัดว่า ความอ่อนแอในชีวิต
เป็นโอกาสที่ “ขับดัน” เราให้เข้าถึงพระคริสต์
เพื่อขอให้พระองค์ทรงจัดการปรับเปลี่ยนชีวิตของเรา ด้วยความรักเมตตา และ
ตามพระประสงค์ของพระองค์
ความอ่อนแอในชีวิตของเราจะเป็นโอกาสที่เราจะได้เผชิญหน้าและสัมผัสกับความเมตตาของพระองค์
แล้วชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย
เพราะพระคริสต์เป็นความเข้มแข็งและพลังในชีวิตของเราในวันนี้
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น