เราท่านต่างคงเคยมีประสบการณ์ในชีวิตที่
“ทำในสิ่งที่ตนไม่คาดคิด หรือ ที่ตนคิดว่า ตนจะไม่ทำในสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด”
ใช่ไหม? มารู้สึกตัว หรือ
มารู้ตัวอีกครั้งหนึ่งก็ปรากฏว่าเราได้ทำสิ่งเหล่านั้นลงไปเรียบร้อยแล้ว เกิดความรู้สึกผิด ภาวะจิตใจแตกหักฉีกขาด
ความรู้สึกอับอายไร้ค่าในตนเองเข้ามาหลอกหลอน ถาโถมโจมตีคุณค่าในตนเอง จนหลายคนต้องหลบหน้า
ล่าถอยจากเพื่อนฝูงในสังคม ครอบครัว แยกตัว ออกห่างแม้แต่พระเจ้า แต่ชีวิตก็พบว่า
ก็ยังไม่สามารถหลบซ่อนจากความรู้สึกอับอายตนเองที่เกิดขึ้น ความรู้สึกอับอายนี้ตามติดตามล่าความรู้สึกของเราอย่างติดหนึบ แล้วสร้างความสับสน เสียจุดยืนในชีวิต จนชีวิตอยู่ในภาวะ “แตกหักและฉีกขาด”
แต่เปโตรเริ่มสบถสาบานใหญ่ว่า
“คนที่เจ้าพูดถึงนั้นข้าไม่รู้จัก”
ทันใดนั้นไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง
เปโตรจึงระลึกถึงถ้อยคำที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า
“ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
เปโตรกลั้นความรู้สึกไม่อยู่ก็ร้องไห้
(มาระโก 14:71-72 มตฐ.; เทียบ: มธ. 26:34; ลก. 22:61; ยน. 13:38; ยน. 18:27)
ก่อนหน้านี้
พระเยซูบอกสาวกล่วงหน้าให้รู้ก่อนว่า
พวกสาวกจะทอดทิ้งพระองค์ (มก.14:27) เปโตรปฏิเสธเสียงแข็งว่า คนอื่นไม่รู้ แต่ตนจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่พระเยซูคริสต์บอกเปโตรว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า
ในวันนี้คือในคืนนี้เอง ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
(ข้อ 30)
แต่เปโตรโพล่งสวนกลับพระเยซูอย่างแข็งขันว่า “แม้ว่าข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์
ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย”
เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน (ข้อ 31)
ในบริบท สถานการณ์ และในเวลานั้น
เปโตรเชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มร้อยว่า
ตนไม่มีวันที่จะปฏิเสธว่าตนเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ สาวกคนอื่นก็เช่นกัน
แต่ละคนพร้อมที่จะตายเพื่อพระเยซูคริสต์
ดังนั้น ไม่มีวันที่ตนจะปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าคนอื่นอย่างแน่นอน
แต่เมื่อสถานการณ์จริงเกิดขึ้น ปรากฏว่าสาวกกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่ตนเคยรู้สึกเคยยืนยันกับพระอาจารย์ว่า จะไม่ทิ้งพระองค์ และที่สำคัญพร้อมที่จะยอมตายเพื่อพระองค์ แต่สำหรับเปโตรสถานการณ์หนักไปกว่านั้น
เขาปฏิเสธหน้าฝูงชนถึงการเป็นสาวกและรู้จักพระเยซูคริสต์ เปโตรทำสิ่งที่ตนไม่คาดคิดว่าจะทำ
เขาทำในสิ่งที่เขามั่นใจว่าคนอย่างตนเองจะไม่ทำเช่นนี้แน่!
แต่เสียงไก่ขันครั้งที่สอง
เป็นเสียงปลุกให้เปโตรตื่นจากความมั่นใจในตนเอง ปลุกจิตสำนึกของเขา ปลุกเขาให้พบความจริงว่า
เขาได้ทำสิ่งที่ตนคิดว่าตนจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอนในชีวิตนี้
เมื่อเขาพบกับความเป็นจริงในตัวตนของตนเองที่ทำในสิ่งที่เขาคิดและมั่นใจว่าตนไม่มีทางทำเช่นนั้น เขาถึงกับเสียใจจนเหมือนอกจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขารีบหนีออกไปร้องไห้ (ข้อ 72) จิตใจของเขาถูกย่ำยีจนแหลกลาญจากความรู้สึกผิด
รู้สึกอับอาย ที่ตนทำในสิ่งที่ตนเคยยืนยันว่าจะไม่ทำเช่นนั้น
ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของผม ผมได้พบกับผู้คนที่ทำในสิ่งที่ตนเองมั่นใจว่าจะไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่กลับทำสิ่งนั้นลงไป หลายคนมั่นใจและตั้งใจแน่วแน่ว่า
ชีวิตสมรสของตนจะไม่จบสิ้นด้วยการหย่าร้าง
คนที่เป็นพ่อแม่หลายต่อหลายคนที่สัญญากับตนเองว่า
ตนจะไม่เลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ร้ายรุนแรง
หลายคนที่ทำงานอย่างตั้งใจสัตย์ซื่อ
และปฏิญาณกับตนเอง สัญญากับพระเจ้า
และบอกกับคนอื่น ๆ ว่า
ไม่มีทางที่ตนจะฉ้อโกง
ผมพบกับคนที่เคยใช้สารเสพติด หรือ ติดแอลกอฮอล์ ที่ตั้งอกตั้งใจอย่างแข็งขันว่า
ครั้งนี้จะเลิกสิ่งเลวร้ายเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่ก็ต้องกลับไปเสพไปดื่มอีก เขาต้องกลับไปติดกับดักเดิม ๆ สุขภาพเสื่อมโทรม ทำให้คนรอบข้าง “อกแตกใจสลาย”
ไม่ใช่คริสตชนทุกคนที่เป็นเช่นที่กล่าวมาแล้ว แต่ในชีวิตของผมก็พบคริสตชนมากมายที่มีชีวิตที่ทำในสิ่งที่ตนเองตั้งใจจะไม่ทำ ทำในสิ่งที่ตนเองมั่นใจว่า
ตนจะไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่ก็ได้ทำลงไปแล้ว เพียงแต่ว่า
แต่ละคนทำในสิ่งที่แตกต่างกันออกไปเท่านั้น ไม่ว่าคนนั้นจะมีตำแหน่งสูงในองค์กรคริสตชน
หรือ เป็นพระใน ศาสนจักร
และพบความจริงว่า
หลายคนนักที่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนตั้งใจ ทำในสิ่งที่ตนคิดว่าไม่มีทางที่ตนจะทำเช่นนั้น
ผู้นำในองค์กรคริสตชนหลายคนบอกว่า เขาไม่มีทางที่จะคิดคดกระทำฉ้อฉล แต่มาพบอีกทีกลับเห็นว่าตนได้ทำลงไปแล้ว หลายคนบอกว่า เขาไม่ได้ติดยึดอยู่กับตำแหน่ง แต่เมื่อให้ลงจากตำแหน่งนั้น กลับมีอาการต่อต้าน
กระฟัดกระเฟียด ต่อลองขออยู่ต่ออีกปีได้ไหม?
เกือบทุกคนในกลุ่มนี้ยืนยันมั่นเหมาะแข็งขันว่า ตนขึ้นมาทำงานในตำแหน่งนี้มิใช่เพื่อ
“เงิน” แต่เพื่อ “พระเจ้า” แต่เมื่อขอให้ลงจากตำแหน่งนี้กลับคร่ำครวญว่า
ช่วงนี้ตนยังจะต้องใช้เงินในการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ล่งลูกเรียน ฯลฯ องค์กรจะต้องเห็นใจและเข้าใจตน
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น
เพราะเมื่อทำในสิ่งที่ตนคิดว่าตนจะไม่ทำเช่นนั้น
ผลการกระทำเช่นนั้นกลับมีพลังเข้ามาเกาะกุมรั้งยึดความรู้สึกผิดของคน ๆ นั้น ลึก ๆ เกิดความรู้สึกอับอายตนเองที่ทำเช่นนั้นลงไป และคน ๆ นั้นก็ตอบสนองด้วยการหลบลี้หนีหน้า ทำตัวห่างออกไป เกิดช่องว่างความสัมพันธ์ในชีวิต อาการเช่นนี้คน ๆ นั้นก็ทำกับพระเจ้าด้วย แต่การที่เรา “ออกห่าง ถ่างถอย”
ไกลจากพระเจ้ามิได้ทำให้เราหลุดรอดจากการกระหน่ำซ้ำเติมจากความรู้สึกอับอายในตนเอง แต่กลับทำให้เราเห็นชัดว่า ชีวิตของตน “แปดเปื้อนและน่าอับอาย ด้อยค่า”
เรื่องในพระกิตติคุณมิได้จบ ณ จุดนี้ แต่หลังจากการ “เป็นขึ้นจากความตาย”
ของพระคริสต์
ท่ามกลางชีวิตจิตใจที่ฉีกขาดแตกสลายของเปโตร พระคริสต์ตามหาเปโตร ฉุดเขาขึ้นจากโคลนตมแห่งความรู้สึกผิด อับอาย
สิ้นหวัง ไร้ค่าในชีวิต
พระองค์พลิกฟื้นชีวิตของเปโตรขึ้นใหม่
ให้มีชีวิตที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ ชีวิตที่ฉีกขาด พ่ายแพ้
เป็นโอกาสที่พระคริสต์ทรงเรียกเปโตรใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นโอกาสใหม่ที่จะเริ่มต้นใหม่ในชีวิตการเป็นสาวกและรับใช้พระองค์ และนี่คือการเป็นขึ้นจากความตายของเปโตร
การเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์
มิเพียงแต่พระองค์อภัยให้แก่เปโตรที่ปฏิเสธพระองค์
แต่ทรงสร้างเขาใหม่จนในที่สุดเป็นผู้นำแนวหน้าในกลุ่มสาวกที่ติดตามพระองค์
ทุกชีวิตที่กำลังติดกับดักของความรู้สึกผิด และ
อับอายตนเอง ที่กระทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตนจะทำเช่นนั้น ในช่วงเวลานี้เป็นโอกาสใหม่ที่พระคริสต์ให้แก่เรา โอกาสที่จะเป็นขึ้นใหม่
มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์
โอกาสที่เราจะรับใช้พระองค์ด้วยความตั้งใจ สัตย์ซื่อ แต่ครั้งนี้เป็นการขับเคลื่อนชีวิตที่เป็นขึ้นใหม่ภายใต้การครอบครองควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ วันนี้ให้เราเป็นขึ้นจากความตายและรับชีวิตใหม่ โอกาสใหม่ การทรงเรียกใหม่ การรับใช้ใหม่
และพลังชีวิตใหม่จากพระคริสต์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น