11 ธันวาคม 2562

ท่านเข้าใจถึงบทบาทของศิษยาภิบาลว่าอย่างไร?

เมื่อผมไปที่คริสตจักรท้องถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันเสาร์ และ อาทิตย์ตอนเช้า เราจะเห็นผู้ปกครอง มัคนายก หรือ ผู้นำเดินไปที่คริสตจักร ผมจะถามว่า  ผู้ปกครอง/มัคนายก จะไปทำอะไรที่ไหน? แล้วก็จะได้ยินว่า...“กำลังจะไปช่วยศิษยาภิบาลทำความสะอาดโบสถ์” “จะไปช่วยศิษยาภิบาลจัดดอกไม้” “จะไปเอารถยนต์ไปรับศิษยาภิบาลออกไปประกาศในอีกหมู่บ้านหนึ่ง”  “จะไปช่วยศิษยาภิบาลนำกลุ่มเล็กในการศึกษาพระคัมภีร์”  ฯลฯ

สรุปคือ หน้าที่หนึ่งของผู้ปกครอง มัคนายก หรือ ผู้นำคริสตจักร มีหน้าที่ช่วยศิษยาภิบาลทำพันธกิจให้สำเร็จ นี่เป็นความเข้าใจถูกต้องหรือไม่?

ส่วนใหญ่แล้วสมาชิกคริสตจักร (และศิษยาภิบาลหลายท่าน) ที่มักจะเข้าใจว่า สมาชิกมีหน้าที่หนุนเสริม ช่วยเหลือให้ศิษยาภิบาลสามารถทำพันธกิจของพระเจ้าให้สำเร็จ ผมขอถามตรงว่า... 

ตามรากฐานของพระวจนะพระเจ้า ใครกันแน่เป็นตัวหลักที่มีหน้าที่ในการทำพันธกิจที่สานต่อจากพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่ทรงเริ่มต้นไว้?  

แท้จริงแล้วในพระธรรม เอเฟซัส 4:11-13 ได้กล่าวไว้ชัดเจน แต่หลายต่อหลายในคริสตจักรไม่ได้เข้าใจอย่างชัดเจนครบถ้วน ไม่ได้น้อมรับคำสอนนี้เป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาที่สำคัญของตน และไม่ได้นำพระวจนะตอนนี้มาปฏิบัติให้เป็นความเชื่อศรัทธาเชิงปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวันของเขา

เมื่อสมาชิกคริสตจักรมิได้ดำเนินชีวิตตามแผนการในพระวจนะของพระเจ้า ผลที่ตามมาคือคริสตจักรเกิดความสับสน ขัดข้อง พบกับอุปสรรค คริสตจักรไม่เจริญเติบโต และสมาชิกคริสตจักรจึงไม่รู้จักหรือมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีและความสำเร็จในการรับใช้พระคริสต์ทั้งในชีวิตและพันธกิจของคริสตจักร และ การทำพันธกิจรับใช้พระคริสต์ในชุมชน พันธกิจในอาชีพการงาน และ พันธกิจในครอบครัวและบ้านใกล้เรือนเคียงของตน

ศิษยาภิบาล และ สมาชิกคริสตจักรในปัจจุบันมีมุมมอง ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง “การทำพันธกิจของคริสตจักร” ใน 3 ลักษณะ ดังนี้ (ข้อมูลที่ใช้เขียนบทความนี้ได้จากการพูดคุย สังเกต สัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ เมื่อผู้เขียนมีโอกาสลงไปเยี่ยมคริสตจักรท้องถิ่น)

1. คริสตจักรจ้างศิษยาภิบาลมาเพื่อให้มาเป็นผู้ทำพันธกิจของคริสตจักร
คริสตจักรท้องถิ่นส่วนใหญ่ในประเทศไทย ทั้งพื้นราบและพื้นที่สูง มักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า คณะธรรมกิจคริสตจักร (เป็นเหมือนนายจ้าง) มีอำนาจเหนือศิษยาภิบาลที่คริสตจักรจ้าง เพราะคณะธรรมกิจมักเข้าใจว่า ตนได้รับเลือกตั้งให้มีอำนาจปกครองและบริหารคริสตจักร? ศิษยาภิบาลจึงกลายเป็นเหมือน “มือปืนรับจ้าง” ทำพันธกิจคริสตจักร?

คณะธรรมกิจคริสตจักรส่วนใหญ่ในมุมมองนี้มักเข้าใจว่า เขาจ้างศิษยาภิบาลมาให้เป็นคนดำเนินการงานพันธกิจในคริสตจักร รับผิดชอบทั้งการเทศนา สอน ศาสนพิธี และ อย่าลืมออกไปเยี่ยมเยียนด้วย รวมทั้งความเรียบร้อยของคริสตจักร พูดชัด ๆ คือ จ้างศิษยาภิบาลมาทำงานต่าง ๆ ของคริสตจักร

จะมีผู้นำ หรือ อาสาสมัครที่ถวายตัวเพียงไม่กี่คนที่เข้ามาช่วยงานของศิษยาภิบาลในการสอนรวีฯ ในคริสตจักร ผู้นำกลุ่มย่อย ผู้นำการอธิษฐาน คนช่วยผ่านถุงถวายในโบสถ์ คนเล่นดนตรีในการนมัสการพระเจ้า ผู้นำนมัสการ (มีคนมาช่วยในบางงานเท่านั้น)

ดูไปแล้ว ถ้าคริสตจักรทำอย่างที่ว่าข้างบนดูจะเรียบร้อยดี แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นคริสตจักรที่มุ่งสนใจแต่ชีวิตและพันธกิจภายในรั้ว/ในกำแพงโบสถ์เท่านั้น เป็นคริสตจักรที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ยาก และคงลำบากที่จะเข็นให้คริสตจักรเช่นนี้ก้าวหน้า

2. คริสตจักรมีสมาชิกถวายตัว/อาสาที่จะช่วยศิษยาภิบาลในการทำพันธกิจ
สมาชิกคริสตจักรเข้ามาช่วยศิษยาภิบาลในการทำพันธกิจด้านต่าง ๆ ซึ่งจะมีสภาพที่ดีกว่าข้อแรกที่ศิษยาภิบาลเป็นเหมือน “มือปืนรับจ้าง” ในการทำพันธกิจคริสตจักรทุกเรื่อง

เราจะเห็นว่า คริสตจักรประเภทสองนี้มีสมาชิกหลายคน หรือ จำนวนมากที่กระตือรือร้นกระโดดเข้ามารับใช้ในพันธกิจหลายด้านในคริสตจักร

ศิษยาภิบาลเป็นผู้เลี้ยงที่ “กระตุ้นหนุนเสริม” สมาชิก และขอบคุณที่สมาชิกเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของศิษยาภิบาล และในพันธกิจหลายด้านศิษยาภิบาลได้มีการฝึกฝนเสริมสร้างสมาชิกในการทำพันธกิจด้านที่เขาเข้ามาช่วยศิษยาภิบาลในคริสตจักร

แต่ศิษยาภิบาลยังเป็นผู้นำที่รับผิดชอบชีวิตจิตวิญญาณ และ งานพันธกิจทุกด้านในคริสตจักร  และสมาชิกมักมองว่าคนที่ทำให้เกิดชีวิตและพันธกิจที่ขับเคลื่อนไปได้เช่นนี้เพราะการนำของ “ศิษยาภิบาล” (และศิษยาภิบาลหลายคนก็ต้องการเห็นเช่นนี้ด้วย) กล่าวคือ ศิษยาภิบาลยังเป็นตัวหลักในการทำพันธกิจคริสตจักร แต่มีสมาชิกส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยงานศิษยาภิบาลรอบด้าน

คริสตจักรประเภทที่สองนี้มีบรรยากาศที่สร้างสรรค์ เปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลง มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ แต่อยู่ในอัตราที่เชื่องช้า เพราะทุกพันธกิจยังต้องพึ่งพาศิษยาภิบาล เป็นคริสตจักรที่มีความเป็นมิตร แต่ยังไม่ถึงระดับประเภทที่สาม ที่จะยอมรับรูปแบบคริสตจักรตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 4

3. ศิษยาภิบาลเสริมหนุนสมาชิกให้เป็นตัวหลักในการทำพันธกิจของคริสตจักร
คริสตจักรประเภทที่สามนี้เป็นคริสตจักรบนหลักการรากฐานตามพระธรรมเอเฟซัส 4:11-13   เป็นคริสตจักรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหลักคิดและฐานเชื่อในสองประเภทก่อนหน้านี้

ศิษยาภิบาลในคริสตจักรประเภทที่สาม เป็นผู้นำที่ “สั่งสอนเสริมสร้างสมาชิกคริสตจักร” ให้เป็นตัวหลักในการทำพันธกิจที่พระเจ้าทรงเรียกแต่ละคนให้ทำ ตามของประทานที่แต่ละคนได้รับในชีวิตของตน

ศิษยาภิบาลเป็นโค้ช ส่วนสมาชิกทุกคนเป็นผู้นำในด้านจิตวิญญาณที่ช่วยการเสริมสร้างคริสตจักรของพระคริสต์ บรรยากาศในคริสตจักรประเภทที่สามนี้คือ “การสั่งสอนเสริมสร้าง” ที่จะให้สมาชิกทุกคนช่วยกันนำและขับเคลื่อนพันธกิจทุกด้านของคริสตจักร ทั้งพันธกิจในคริสตจักร และ พันธกิจในชุมชน ทุกตำแหน่งที่รับผิดชอบพันธกิจแต่ละอย่างมีสมาชิกที่นำและรับผิดชอบ อีกทั้งสมาชิกรับผิดชอบพันธกิจในชีวิตประจำวันของตนด้วย

ศิษยาภิบาลชื่นชมขอบคุณสมาชิกมิใช่เพราะเขามาช่วยศิษยาภิบาลทำพันธกิจให้สำเร็จ แต่ชื่นชมและขอบคุณสมาชิกที่เข้ามารับใช้ พระคริสต์ ในการสานต่อพระราชกิจแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้ ตามของประทานที่แต่ละคนมี และนี่คือนิมิตของคริสตจักร

คริสตจักรประเภทนี้จะช่วยให้สมาชิกแต่ละคนรู้สึกสนุกกับการทำพันธกิจในด้านต่าง ๆ และรู้สึกได้ว่าชีวิตของตนได้รับการเติมเต็ม และมีประสบการณ์ตรงในชีวิตกับคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้ามากขึ้น

คริสตจักรของท่านเป็นคริสตจักรประเภทไหนในขณะนี้? ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น? สมาชิกในคริสตจักรของท่านควรได้รับ “การหนุนเสริม” ในเรื่องใดบ้าง เพื่อจะเป็นคริสตจักรที่มุ่งไปสู่พระประสงค์ของพระเจ้า?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น