12 ธันวาคม 2562

มุมมองของศิษยาภิบาลต่อฆราวาสที่อาจคลาดเคลื่อน

การมีมุมมองต่อผู้คนต่างกลุ่มที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชนคนคริสตจักรด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วมุมมองที่คลาดเคลื่อนเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้มองที่มองไปยังคนกลุ่มต่าง ๆ จากประสบการณ์เชิงลบในอดีตของตน ที่มีบางคนกระทำต่อตน อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ได้รับจากบางคน หรือ หลายคน แต่เจ้าตัวใช้เป็นข้อสรุปว่าคนกลุ่มนั้น ๆ จะต้องเป็นคนในลักษณะดังกล่าว

ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่ที่ผมไปพบเห็นพูดคุยมามักมีมุมมองต่อสมาชิกฆราวาสที่อาจจะคลาดเคลื่อนในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้... ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่มักมองว่า...

1. สมาชิกฆราวาสบางคนไม่ได้รักองค์พระผู้เป็นเจ้า

ในกรณีนี้สมาชิกฆราวาสอาจจะไม่ได้แสดงให้เราเห็นเสมอว่าเขารักพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงหลายคนที่รักพระเจ้า และพวกเขารักพระเจ้าในวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันอาทิตย์ด้วย

2. สมาชิกฆราวาสไม่สนใจวินัยชีวิตจิตวิญญาณ

สมาชิกฆราวาสบอกว่าได้ยินศิษยาภิบาล และ ผู้นำคริสตจักรบอกพวกเขาปีแล้วปีเล่าให้ทุ่มเทใส่ใจวินัยชีวิตด้านจิตวิญญาณ แต่ไม่มีผู้นำที่ยอมลงมาดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างเคียงข้างชีวิตของพวกเขา และนี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้แยแสต่อการเสริมสร้างวินัยชีวิตจิตวิญญาณ

3. สมาชิกฆราวาสไม่ใส่ใจคนที่หลงหาย

เป็นความจริงที่สมาชิกฆราวาสส่วนใหญ่บอกเล่าพระกิตติคุณแก่คนอื่น ๆ ไม่บ่อยนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจในเรื่องนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบางครั้งบางคนที่เขากลัวในการประกาศพระกิตติคุณ เขากลัวว่าคนอื่นจะปฏิเสธการพูดคุยพระกิตติคุณ หรือถ้ามีคำถามเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร

4. สมาชิกฆราวาสไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

จากการพูดคุยกับฆราวาส พบว่า ข้อสรุปนี้ไม่จริง สิ่งที่สมาชิกฆราวาสไม่ชอบในการเปลี่ยนแปลงคือ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า หรือบางครั้งเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างฟ้าผ่า ที่สำคัญคือ ไม่มีการอธิบายสร้างความเข้าใจก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น

5. สมาชิกฆราวาสไม่ต้องการติดตามผู้นำ

สมาชิกฆราวาสพร้อมที่จะติดตามลงเรือลำเดียวกันไปกับศิษยาภิบาลเมื่อมีวิสัยทัศน์ หรือ นิมิตที่พระเจ้าประทานให้ แต่ที่สมาชิกฆราวาสดูเหมือนไม่ติดตามศิษยาภิบาลก็เพราะผู้นำไม่ได้นำพวกเขาให้รู้ชัดเจนในนิมิต/วิสัยทัศน์ร่วมของคริสตจักร

6. สมาชิกฆราวาสที่มีอายุมากติดแหงกอยู่กับอดีต

สมาชิกผู้สูงอายุบอกว่า ชีวิตจริงไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในอดีตหรอก เป็นความจริงที่เราคิดถึงวันวานเมื่ออดีตที่ความสับสนวุ่นวายน้อยกว่าปัจจุบันและรู้สึกมีความปลอดภัยในชีวิตมากกว่า แต่สมาชิกสูงอายุรู้อยู่เต็มอกว่า คริสตจักรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าถึงคนรุ่นต่อไป และ คนรุ่นใหม่ และต้องการรู้ว่าแล้วจะให้คนแก่ทำอย่างไรดี

7. สมาชิกฆราวาสส่วนใหญ่ตระหนี่

สมาชิกฆราวาสเปิดใจในเรื่องนี้ว่า ในยุคนี้ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจฝืดเคืองมาก สมาชิกฆราวาสหลายคนมีหนี้สินที่จะต้องหาทางชำระ ทำให้พวกเขาต้องคิดหน้าพะวงหลังเมื่อจะใช้จ่าย จ่ายแต่ที่มีความจำเป็นจริง ๆ ดังนั้น ในการตัดสินใจที่จะจ่ายอะไรเท่าใดนั้น เป็นสิ่งที่ต้องคิดแล้วคิดอีกให้รอบคอบ

8. สมาชิกฆราวาสหายากที่จะไว้ใจได้

ในกรณีนี้สมาชิกฆราวาสยอมรับว่ามีบางคนที่ไว้ใจได้ลำบาก แต่อย่าเอาประสบการณ์ที่มีต่อบางคนมาสรุปรวบยอดว่า สมาชิกฆราวาสทุกคนเป็นเช่นนั้น สมาชิกฆราวาสบางคนไว้วางใจได้อย่างสูง เป็นเพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้

9. สมาชิกฆราวาสเพียงไม่กี่คนที่สนใจเข้ามีส่วนร่วมในงานคริสตจักร

เป็นความจริงว่า มีเพียงไม่มีกี่คนในคริสตจักรที่เข้ามามีส่วนร่วมรับใช้ในงานของคริสตจักร แต่คนที่ยังไม่ได้เข้ามาร่วมไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการเข้ามาร่วมในงานรับใช้คริสตจักร แต่เพราะไม่มีใครช่วยเขาค้นหาว่าเขามีของประทาน หรือ ความสามารถอะไรในตนเอง และจะใช้ของประทานนั้นในการรับใช้งานไหนในคริสตจักร และก็ไม่มีใครช่วยเขาให้รู้ว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมรับใช้ได้อย่างไร

10. สมาชิกฆราวาสไม่ได้รักศิษยาภิบาลของตน

สมาชิกเข้าใจว่า สิ่งนี้มิใช่การเรียกร้องของศิษยาภิบาล แต่ความเป็นจริงคือ สมาชิกฆราวาสหลายต่อหลายคนเข้าไม่ถึงศิษยาภิบาล ขาดความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึก ขาดความไว้วางใจกันในเชิงปฏิบัติ ขาดการสื่อสารและรู้จักมักคุ้นกัน แต่ถ้าสมาชิกฆราวาสในคริสตจักรรู้จัก เข้าถึง เข้าใจ แล้วเขาจะเป็นคนหนึ่งที่จะสนับสนุนศิษยาภิบาลของเขาอย่างมาก

จากการมีมุมมองที่อาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนของศิษยาภิบาลต่อสมาชิกฆราวาสในคริสตจักร ประการหนึ่ง คือประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างกันของศิษยาภิบาลและสมาชิกฆราวาส จะช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่มีต่อกันนำไปสู่ความไว้วางใจ และสามารถมองในส่วนดีของกันและกัน และคริสตจักรมีกระบวนการในการสร้างสัมพันธ์เสริมหนุนกันทั้งในชีวิต และ การทำพันธกิจ

แล้วจะเริ่มต้นได้อย่างไร? ใครจะเป็นคนเริ่มต้น? ท่านมีคำแนะนำอะไรบ้าง?

หมายเหตุ:

ข้อมูลที่นำมาสังเคราะห์หาลักษณะมุมมองที่อาจจะคลาดเคลื่อนของศิษยาภิบาลที่มีต่อสมาชิกฆราวาสในในคริสตจักรในข้อเขียนนี้ เป็นการเก็บและสะสมข้อมูลอย่างเป็นธรรมชาติ กล่าวคือเกิดจากการพูดคุย ไต่ถาม หรือ ฟังสิ่งที่ศิษยาภิบาล และ สมาชิกฆราวาสบอกเล่าให้ฟังพร้อมตัวอย่างจริงใช้อ้างอิงในสิ่งที่เขาบอกเล่านั้น แม้จะมิใช่เป็น “ข้อสรุปที่เป็นมาตรฐานสากล” แต่ก็เป็นแนวโน้มส่วนใหญ่ที่ผมไปได้รับรู้มาในช่วงทำงานสำรวจวิจัยชุมชนและคริสตจักร และได้ศึกษาเทียบเคียงบทความในทำนองเดียวกันนี้จากประสบการณ์ของคริสตจักรในต่างประเทศ

ดังนั้น ถ้าท่านผู้อ่านที่เป็นศิษยาภิบาล หรือ สมาชิกฆราวาสอ่านแล้วมีข้อคิดเห็นต่าง หรือ หลักฐานที่แตกต่าง กรุณาช่วยส่งมาเติมเต็มแก่บทความนี้ด้วย เพื่อช่วยให้เรามีมุมมองต่อกันและกันที่ถูกต้องเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ด้วยมุมมองที่ยืนอยู่บนความรักเมตตาบนรากฐานพระกิตติคุณของพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น