การมีมุมมองต่อผู้คนต่างกลุ่มที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
และเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชนคนคริสตจักรด้วยเช่นกัน
ส่วนใหญ่แล้วมุมมองที่คลาดเคลื่อนเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้มองที่มองไปยังคนกลุ่มต่าง
ๆ จากประสบการณ์เชิงลบในอดีตของตน ที่มีบางคนกระทำต่อตน อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ได้รับจากบางคน
หรือ หลายคน แต่เจ้าตัวใช้เป็นข้อสรุปว่าคนกลุ่มนั้น ๆ จะต้องเป็นคนในลักษณะดังกล่าว
ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่ที่ผมไปพบเห็นพูดคุยมามักมีมุมมองต่อสมาชิกฆราวาสที่อาจจะคลาดเคลื่อนในเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้... ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่มักมองว่า...
1. สมาชิกฆราวาสบางคนไม่ได้รักองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในกรณีนี้สมาชิกฆราวาสอาจจะไม่ได้แสดงให้เราเห็นเสมอว่าเขารักพระเจ้า
แต่ในความเป็นจริงหลายคนที่รักพระเจ้า
และพวกเขารักพระเจ้าในวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันอาทิตย์ด้วย
2.
สมาชิกฆราวาสไม่สนใจวินัยชีวิตจิตวิญญาณ
สมาชิกฆราวาสบอกว่าได้ยินศิษยาภิบาล
และ ผู้นำคริสตจักรบอกพวกเขาปีแล้วปีเล่าให้ทุ่มเทใส่ใจวินัยชีวิตด้านจิตวิญญาณ
แต่ไม่มีผู้นำที่ยอมลงมาดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างเคียงข้างชีวิตของพวกเขา
และนี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้แยแสต่อการเสริมสร้างวินัยชีวิตจิตวิญญาณ
3.
สมาชิกฆราวาสไม่ใส่ใจคนที่หลงหาย
เป็นความจริงที่สมาชิกฆราวาสส่วนใหญ่บอกเล่าพระกิตติคุณแก่คนอื่น
ๆ ไม่บ่อยนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจในเรื่องนี้
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบางครั้งบางคนที่เขากลัวในการประกาศพระกิตติคุณ
เขากลัวว่าคนอื่นจะปฏิเสธการพูดคุยพระกิตติคุณ
หรือถ้ามีคำถามเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร
4.
สมาชิกฆราวาสไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
จากการพูดคุยกับฆราวาส
พบว่า ข้อสรุปนี้ไม่จริง สิ่งที่สมาชิกฆราวาสไม่ชอบในการเปลี่ยนแปลงคือ
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า หรือบางครั้งเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างฟ้าผ่า
ที่สำคัญคือ ไม่มีการอธิบายสร้างความเข้าใจก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น
5.
สมาชิกฆราวาสไม่ต้องการติดตามผู้นำ
สมาชิกฆราวาสพร้อมที่จะติดตามลงเรือลำเดียวกันไปกับศิษยาภิบาลเมื่อมีวิสัยทัศน์
หรือ นิมิตที่พระเจ้าประทานให้ แต่ที่สมาชิกฆราวาสดูเหมือนไม่ติดตามศิษยาภิบาลก็เพราะผู้นำไม่ได้นำพวกเขาให้รู้ชัดเจนในนิมิต/วิสัยทัศน์ร่วมของคริสตจักร
6.
สมาชิกฆราวาสที่มีอายุมากติดแหงกอยู่กับอดีต
สมาชิกผู้สูงอายุบอกว่า
ชีวิตจริงไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในอดีตหรอก
เป็นความจริงที่เราคิดถึงวันวานเมื่ออดีตที่ความสับสนวุ่นวายน้อยกว่าปัจจุบันและรู้สึกมีความปลอดภัยในชีวิตมากกว่า
แต่สมาชิกสูงอายุรู้อยู่เต็มอกว่า
คริสตจักรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าถึงคนรุ่นต่อไป และ คนรุ่นใหม่
และต้องการรู้ว่าแล้วจะให้คนแก่ทำอย่างไรดี
7.
สมาชิกฆราวาสส่วนใหญ่ตระหนี่
สมาชิกฆราวาสเปิดใจในเรื่องนี้ว่า
ในยุคนี้ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจฝืดเคืองมาก
สมาชิกฆราวาสหลายคนมีหนี้สินที่จะต้องหาทางชำระ
ทำให้พวกเขาต้องคิดหน้าพะวงหลังเมื่อจะใช้จ่าย จ่ายแต่ที่มีความจำเป็นจริง ๆ
ดังนั้น ในการตัดสินใจที่จะจ่ายอะไรเท่าใดนั้น
เป็นสิ่งที่ต้องคิดแล้วคิดอีกให้รอบคอบ
8. สมาชิกฆราวาสหายากที่จะไว้ใจได้
ในกรณีนี้สมาชิกฆราวาสยอมรับว่ามีบางคนที่ไว้ใจได้ลำบาก
แต่อย่าเอาประสบการณ์ที่มีต่อบางคนมาสรุปรวบยอดว่า สมาชิกฆราวาสทุกคนเป็นเช่นนั้น
สมาชิกฆราวาสบางคนไว้วางใจได้อย่างสูง เป็นเพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้
9.
สมาชิกฆราวาสเพียงไม่กี่คนที่สนใจเข้ามีส่วนร่วมในงานคริสตจักร
เป็นความจริงว่า
มีเพียงไม่มีกี่คนในคริสตจักรที่เข้ามามีส่วนร่วมรับใช้ในงานของคริสตจักร
แต่คนที่ยังไม่ได้เข้ามาร่วมไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการเข้ามาร่วมในงานรับใช้คริสตจักร
แต่เพราะไม่มีใครช่วยเขาค้นหาว่าเขามีของประทาน หรือ ความสามารถอะไรในตนเอง
และจะใช้ของประทานนั้นในการรับใช้งานไหนในคริสตจักร
และก็ไม่มีใครช่วยเขาให้รู้ว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมรับใช้ได้อย่างไร
10.
สมาชิกฆราวาสไม่ได้รักศิษยาภิบาลของตน
สมาชิกเข้าใจว่า
สิ่งนี้มิใช่การเรียกร้องของศิษยาภิบาล แต่ความเป็นจริงคือ
สมาชิกฆราวาสหลายต่อหลายคนเข้าไม่ถึงศิษยาภิบาล ขาดความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึก
ขาดความไว้วางใจกันในเชิงปฏิบัติ ขาดการสื่อสารและรู้จักมักคุ้นกัน
แต่ถ้าสมาชิกฆราวาสในคริสตจักรรู้จัก เข้าถึง เข้าใจ
แล้วเขาจะเป็นคนหนึ่งที่จะสนับสนุนศิษยาภิบาลของเขาอย่างมาก
จากการมีมุมมองที่อาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนของศิษยาภิบาลต่อสมาชิกฆราวาสในคริสตจักร
ประการหนึ่ง คือประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างกันของศิษยาภิบาลและสมาชิกฆราวาส
จะช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่มีต่อกันนำไปสู่ความไว้วางใจ และสามารถมองในส่วนดีของกันและกัน
และคริสตจักรมีกระบวนการในการสร้างสัมพันธ์เสริมหนุนกันทั้งในชีวิต และ
การทำพันธกิจ
แล้วจะเริ่มต้นได้อย่างไร? ใครจะเป็นคนเริ่มต้น? ท่านมีคำแนะนำอะไรบ้าง?
หมายเหตุ:
ข้อมูลที่นำมาสังเคราะห์หาลักษณะมุมมองที่อาจจะคลาดเคลื่อนของศิษยาภิบาลที่มีต่อสมาชิกฆราวาสในในคริสตจักรในข้อเขียนนี้
เป็นการเก็บและสะสมข้อมูลอย่างเป็นธรรมชาติ กล่าวคือเกิดจากการพูดคุย ไต่ถาม หรือ
ฟังสิ่งที่ศิษยาภิบาล และ
สมาชิกฆราวาสบอกเล่าให้ฟังพร้อมตัวอย่างจริงใช้อ้างอิงในสิ่งที่เขาบอกเล่านั้น
แม้จะมิใช่เป็น “ข้อสรุปที่เป็นมาตรฐานสากล”
แต่ก็เป็นแนวโน้มส่วนใหญ่ที่ผมไปได้รับรู้มาในช่วงทำงานสำรวจวิจัยชุมชนและคริสตจักร
และได้ศึกษาเทียบเคียงบทความในทำนองเดียวกันนี้จากประสบการณ์ของคริสตจักรในต่างประเทศ
ดังนั้น
ถ้าท่านผู้อ่านที่เป็นศิษยาภิบาล หรือ สมาชิกฆราวาสอ่านแล้วมีข้อคิดเห็นต่าง หรือ
หลักฐานที่แตกต่าง กรุณาช่วยส่งมาเติมเต็มแก่บทความนี้ด้วย
เพื่อช่วยให้เรามีมุมมองต่อกันและกันที่ถูกต้องเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
ด้วยมุมมองที่ยืนอยู่บนความรักเมตตาบนรากฐานพระกิตติคุณของพระคริสต์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น