06 เมษายน 2555

พระกิตติคุณบนกางเขน(2) “...ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

6 เมษายน 2012

อ่านพระกิตติคุณลูกา 23:32-43

ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหมิ่นประมาทพระองค์ว่า
“เจ้าเป็นพระคริสต์มิใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด”
แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า
“เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าก็ถูกลงโทษเหมือนกัน เพราะเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดอะไรเลย”
แล้วคนนั้นจึงทูลว่า
“พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์”
พระเยซูทรงตอบเขาว่า
“วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:39-43 ฉบับมาตรฐาน)

พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขนที่กะโหลกศีรษะซึ่งเป็นจุดที่มีคนผ่านไปผ่านมาจำนวนมาก พระองค์ถูกตรึงพร้อมกับอาชญากรอีกสองคน ซึ่งปกติแล้วในช่วงเทศกาลปัสกา(ช่วงเวลาที่พวกยิวระลึกถึงการที่พวกเขาได้ปลดแอกจากการกดขี่ของพวกอียิปต์ในสมัยโมเสส)จะมีการประหารชีวิตอาชญากรทางการเมืองที่มักก่อการกบฏต่ออำนาจการปกครองของโรมัน ซึ่งพระเยซูก็ถูกตราเข้าข่ายเป็นอาชญากรทางการเมือง(อย่างน้อยก็ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหานี้จากพวกผู้นำศาสนา) ดูได้จากป้ายประจานบนกางเขนว่า “กษัตริย์ของคนยิว” ทั้งนี้เพื่อเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เป็นการปรามคนที่คิดจะโค่นล้มอำนาจของโรมันในเวลานั้น

พวกผู้นำศาสนายิวในเวลานั้นส่วนหนึ่งมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกับอำนาจทางโรมัน แม้แต่คายาฟาสก็เป็นคนที่โรมมันเป็นคนเลือกให้เป็นผู้นำด้วย ดังนั้น การกำจัดพวกที่มักก่อความไม่สงบจึงเป็นการป้องกันโรมันยกกองทัพเข้ามาทำลายกรุงเยรูซาเล็ม ตามที่คายาฟาสแนะนำพวกผู้นำยิวว่า ควรให้พระเยซูตายแทนที่ประชาชนจะต้องตายเพราะกองกำลังโรมันยกมาบุกทำลายเยรูซาเล็ม(ยอห์น 18:14)

ที่ภูเขากะโหลกศีรษะ พวกผู้นำศาสนากล่าวเยาะเย้ยถากถางพระเยซู อาชญากรคนหนึ่งที่ถูกตรึงพร้อมพระองค์ก็พูดถากถางพระองค์เช่นกัน แต่อาชญากรอีกคนหนึ่งห้ามปราม และสำนึกว่าการที่เขาทั้งสองถูกลงโทษก็สมควรแล้วกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ซึ่งพอคาดคะเนได้ว่า เขาอาจจะเป็นอาชญากรที่ก่อการกบฏทางการเมืองด้วย แต่กลับเห็นว่า พระเยซูคริสต์ไม่ได้กระทำความผิดจนถึงขั้นควรแก่โทษประหาร

หลังจากที่กระตุ้นต่อมสำนึกของเพื่อนโจรที่พูดเยาะเย้ยพระเยซูแล้ว เขาหันมาทูลพระเยซูว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จไปในแผ่นดินของพระองค์”(ข้อ 42) พระเยซูคริสต์ตรัสตอบโจรคนนี้ว่า “วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” มีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า พระเยซูอยู่ที่ไหน ชายที่ถูกตรึงคนนี้ก็จะอยู่กับพระองค์ที่นั่นด้วย และนี่คือพระสัญญาที่พระเยซูคริสต์ให้กับชายคนนี้

น่าสังเกตว่า เป็นคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทรงให้ไว้กับสาวกของพระองค์ด้วยเช่นกัน ยอห์น 14:3 ฉบับมาตรฐานกล่าวว่า “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย”

“ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่น ด้วย” (ยอห์น 12:26 ฉบับมาตรฐาน) ในคำอธิษฐานของพระเยซูต่อพระบิดา ยอห์น 17:24 “...ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ที่ข้าพระองค์อยู่นั้น...”

พระคัมภีร์ไทยทั้ง 3 ฉบับใช้คำว่า “เมืองบรมสุขเกษม” เหมือนกัน รากศัพท์ภาษากรีกมาจากคำว่า paradeisos มีความหมายว่า “สวน” ซึ่งพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่ใช้ภาษากรีก (LXX) ก็ใช้คำเดียวกันนี้ที่หมายถึง “สวนเอเดน” ศาสนายิวในสมัยพระเยซูคริสต์คำๆ นี้มีความหมายเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ และยังมีความหมายเชื่อมโยงกับอนาคตเมื่อพระเจ้าจะทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่ให้กลับสมบูรณ์พูนครบอย่างเดิมดั่งในสวนเอเดน คำๆ นี้ยังมีความคิดว่า เป็นที่ที่คนชอบธรรมจะอยู่ภายหลังที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว และดูเหมือนว่าคำ paradeisos ที่พระเยซูใช้ในพระคัมภีร์ข้อนี้ก็มีความหมายในทำนองนี้ด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญในพระธรรมตอนนี้มิได้อยู่ที่ว่า “เมืองบรมสุขเกษม” นั้นคือเมืองไหน อยู่ที่ใด แต่ที่สำคัญยิ่งคือพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่ให้กับโจรที่ถูกตรึงคนที่สองนั้นว่า “เขาจะได้อยู่กับพระเยซูคริสต์ในที่ที่พระองค์ทรงอยู่นั่น” สิ่งที่โจรคนที่สองทูลขอต่อพระเยซูคริสต์คือ ขอพระองค์ระลึกถึง(อย่าลืม)เขาเมื่อพระเยซูเข้าในแผ่นดินของพระองค์ ขอตั้งข้อสังเกตว่า เราไม่สามารถหาหลักฐานหรือเรื่องเชื่อมโยงว่า โจรคนนี้เคยฟังคำสอนของพระเยซู หรือเคยติดตามพระคริสต์ในฝูงชน แต่เขาน่าจะรู้ถึงพระเมสิยาห์ที่จะมาปลดปล่อยอิสราเอลออกจากการตกเป็นเมืองขึ้น เราพบว่าเขากล่าวถึงว่า ในแผ่นดิน หรือ ในอาณาจักร หรือ ในการครอบครองของพระเยซูคริสต์

บนกางเขนนั้น เราไม่พบว่าเขาได้สารภาพความผิดบาป ยิ่งกว่านั้นไม่ได้มีการให้บัพติสมาไม่ว่ารูปแบบใด สิ่งที่ปรากฏที่กางเขนนั้น เขาได้ต่อว่าเพื่อนอาชญากรที่ถูกตรึงพร้อมด้วยกันที่เยาะเย้ยพระเยซู และยืนยันว่าเขาทั้งสองต้องโทษประหารก็สมควรแก่การกระทำของเขา แล้วยืนยันว่า การที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงนั้นเป็นเหตุที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควรอย่างยิ่ง เราเห็นและรับรู้ข้อมูลเพียงเท่านี้ และพระธรรมตอนนี้เป็นพระธรรมที่น่างงงวยและอัศจรรย์อย่างยิ่งเท่าที่เคยพบในพระคัมภีร์ ที่พระเยซูคริสต์ให้คำสัญญากับอาชญากรโทษขั้นประหารของโรมันว่าจะได้อยู่กับพระองค์ในที่ที่พระองค์ประทับอยู่

การที่ได้รับชีวิตใหม่ ยิ่งกว่านั้นเป็นชีวิตที่อยู่ในแผ่นดินของพระคริสต์ และชัดเจนถึงขั้นที่ว่าอยู่กับพระคริสต์ในที่ที่พระองค์อยู่นั้นเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ผู้ที่ไว้วางใจในพระองค์ด้วยทั้งชีวิตจิตใจ ที่แสดงออกมาเป็นเพียงคำทูลขอธรรมดาง่ายๆ ว่า “ขอโปรดระลึกถึงข้าพระองค์...” และที่ทูลขอพระคริสต์โปรดระลึกถึงตนนั้น มิใช่เพราะความดี มิใช่เพราะมีความเชื่อที่เป็นแบบอย่าง แต่เพราะรู้ว่าตนไม่มีที่พึ่งอื่นใดอีกแล้ว รู้ว่าตนช่วยตนเองไม่ได้แล้ว ที่จะได้อยู่ในแผ่นดินของพระคริสต์นั้นอยู่ที่พระเมตตากรุณาของพระคริสต์เจ้าเท่านั้น ขอเพียงพระองค์ระลึกถึงก็พอใจแล้ว

ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์มิใช่ได้รับเพราะการกระทำดี กระทำถูกต้อง มิใช่เพราะประกอบศาสนพิธีถูกต้อง หรือ ครบถ้วน มิใช่เพราะได้ทำสิ่งนี้หรือกระทำสิ่งนั้น แต่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์เกิดขึ้นเป็นจริงได้เพราะพระคุณเมตตาของพระเจ้าเท่านั้น อย่างที่เปาโลกล่าวไว้ในหลายครั้งหลายที่ ที่ท่านมีชีวิตรอดได้มิใช่เพราะความเก่งกาจสามารถ หรือ การกระทำดีในชีวิต แต่เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตากรุณาของพระคริสต์ต่างหากที่ทำให้ชีวิตของท่านหลุดรอดออกจากอำนาจของมารร้าย ดังนั้น ในชีวิตของท่านจึงไม่มีสิ่งใดอวดได้เลย ทั้งๆ ที่ท่านทุ่มเทและสุ่มเสี่ยงชีวิตของท่านเพื่อพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ แต่ท่านบอกว่า นี่เป็นเพียงเพราะการสำนึกในพระคุณและพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

ความรอด หรือ ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรื่องคริสต์ศาสนศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่นักคริสต์ศาสนศาสตร์มักทำให้เรื่องเข้าใจง่ายๆ ธรรมดาให้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนยากแก่ความเข้าใจของผู้คนทั่วไป จนดูเหมือนนักศาสนศาสตร์เท่านั้นที่จะเข้าใจได้ และโต้เถียงกันในกลุ่มนักศาสนศาสตร์ไม่รู้จักจบสิ้น แต่ความรอดและชีวิตใหม่ในพระคริสต์เป็นเรื่องชีวิตของผู้คนทุกคนที่ได้รับพระคุณและความเมตตากรุณาจากพระคริสต์เจ้า แล้วสำนึกในพระคุณเมตตาของพระองค์จนสำแดงความสำนึกนั้นออกมาในรูปแบบหลากหลายในชีวิตประจำวันของตน ที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ และพร้อมที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วยความเชื่อฟัง

ประเด็นสำหรับใคร่ครวญและอภิปรายกลุ่ม

1. ท่านคิดว่าพระสัญญาของพระเจ้ามีความสำคัญต่อชีวิตของท่านหรือไม่? อย่างไร?
2. พระสัญญาใดที่ทำให้ท่านมั่นใจว่า ท่านได้รับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์?
3. พระสัญญาและชีวิตใหม่มีความสำคัญในชีวิตทุกวันนี้ของท่านอย่างไร?
4. โจรคนที่สองที่ถูกตรึงพร้อมกับพระคริสต์ได้ทูลขอต่อพระองค์ ขอให้พระองค์ระลึกถึงเขาเมื่อเสด็จเข้าในแผ่นดินของพระองค์ ถ้าท่านถูกตรึงพร้อมกับพระคริสต์ในวันนี้ ท่านจะทูลพระเยซูคริสต์อะไรบ้าง? ทำไมท่านถึงทูลเช่นนั้น?

ใคร่ครวญภาวนา

พระเยซูคริสต์เจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าที่รักของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ซาบซึ้งในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ร้องทูล พระองค์ฟังข้าพระองค์ด้วยใส่พระทัย เมื่อข้าพระองค์ทูลขอพระองค์โปรดระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เข้าในแผ่นดินของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าข้าพระองค์จะได้อยู่กับพระองค์ในเมืองบรมสุขเกษม พระเมตตาคุณของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆ เกินกว่าที่ข้าพระองค์จะนึกคิดได้ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์นั้นโอบกอดชีวิตของข้าพระองค์ไว้ ทรงเสริมหนุนให้กำลังแก่ชีวิตของข้าพระองค์ และทรงเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของข้าพระองค์

โอ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แม้ว่าสถานการณ์ชีวิตในทุกวันนี้ของข้าพระองค์จะแตกต่างจากสถานการณ์ในฐานะอาชญากรทางการเมือง แต่ข้าพระองค์ก็มีชีวิตที่ตกอยู่ในอำนาจครอบงำทั้งด้านความคิด อิทธิพลของกระแสสังคมที่ช่วงชิงเอาเปรียบอย่างเห็นแก่ตัว ยากที่จะไว้วางใจกันได้ ในภาวะที่เสี่ยงและยากที่จะเชื่อพึ่งสิ่งใดหรือคนใด ข้าพระองค์ขอวางใจพระองค์เท่านั้นด้วยสุดจิตสุดใจ ชีวิตที่ข้าพระองค์มีอยู่ในทุกวันขอให้เป็นชีวิตที่อยู่ในพระหัตถ์แห่งพระคุณเมตตาของพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้หรือในอนาคต

ข้าพระองค์ขอทูลอธิษฐานต่อพระองค์ว่า ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในแผ่นดินของพระองค์ อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น