09 เมษายน 2555

พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายในชีวิตของท่านแล้วหรือยัง?

9 เมษายน 2012

การเป็นขึ้นจากความตายเป็นเรื่องที่มิใช่เพียงเข้าใจยาก เชื่อยากเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ “จินตนาการ” ยากด้วยเช่นกัน มิใช่เพียงในพวกเราเท่านั้น แต่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับสาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์ด้วยตนเองเช่นกัน! ทั้งๆที่พระองค์ได้บอกพวกเขาล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะถูกฆ่าจนเสียชีวิต แต่พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม (ที่ซีซาเรยาฟีลิปปี มัทธิว 16:21, มาระโก 8:31, ลูกา 9:22; ที่แคว้นกาลิลี มัทธิว 17:22-23, มาระโก 9:31, ลูกา 9:44; ขณะเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม มัทธิว 20:18-19, มาระโก 10:33-34, ลูกา 18:31-33) และผู้บันทึกพระกิตติคุณได้บอกชัดว่า สาวกไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเยซูแจ้งแก่พวกเขาล่วงหน้า

ถึงแม้ว่า ในพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ ที่ได้เรียกคนตายให้เป็นขึ้น ทั้งในคนต่างชาติ และเพื่อนสนิทชาวยิวอย่างลาซารัส รวมไปถึงบุตรสาวของไยรัส แต่ประสบการณ์เหล่านี้ก็ยังไม่ช่วยให้สาวกเข้าใจซึมซับจนเชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายได้ ยิ่งเรื่องที่ว่า พระเยซูคริสต์จะต้องตายแล้วจะเป็นขึ้นจากความตายยิ่งยากแก่การจินตนาการของเหล่าสาวก

แต่เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงสาวกเกือบตั้งตัวไม่ติด ตั้งแต่ครั้งเมื่อพระเยซูคริสต์อธิษฐานที่เกทเสมนีสาวกกลับหลับใหลไม่ได้สติ เมื่อพระเยซูถูกพวกทหารและผู้นำศาสนายิวจับไปสาวกก็ต้องหลบหนีและหลบซ่อนเอาตัวรอด ถึงแม้เปโตรต้องการที่จะรู้ถึงความเป็นไปของพระเยซูคริสต์ (ในเวลานั้นเปโตรคิดหรือวางแผนอะไรในใจเราไม่ทราบ) แต่เมื่อต้องเผชิญกับความจริงเขากลับตัดสินใจปฏิเสธการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ถึงสามครั้งก่อนไก่ขัน น่าสังเกตว่าสาวกและเพื่อนสนิทของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในวิกฤติเวลานั้นที่พระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนกลับเหลือแต่พวกสตรี และ สาวกชายเพียงน้อยนิดเท่านั้น

ภายหลังที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนกางเขน แล้วพระศพถูกนำไปฝังที่อุโมงค์ของโยเซฟ สมาชิกสภาผู้นำศาสนายิว เป็นชาวอาริมาเธีย เขาไม่เห็นด้วยกับมติของสภาครั้งนี้ และยังเป็นคนที่คอยท่าแผ่นดินของพระเจ้า (ลูกา 23:50-56) ลูกาได้บันทึกเหตุการณ์เช้าวันอาทิตย์ไว้ดังนี้

“ตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ พวกผู้หญิงก็นำเครื่องหอมที่จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ พวกนางพบว่าก้อนหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะกำลังฉงนสนเท่ห์เพราะเหตุการณ์นั้น นี่แน่ะ มีชายสองคนยืนอยู่ใกล้พวกนาง เครื่องนุ่งห่มแพรวพราวจนพร่าตา ผู้หญิงเหล่านั้นก็หวาดกลัวและซบหน้าลงถึงดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับนางว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม? พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลีว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่ พวกนางจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์

เมื่อกลับจากอุโมงค์แล้ว พวกนาง1ก็เล่าเหตุการณ์นี้ทั้งหมดแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ด้วย...แต่พวกอัครทูตไม่เชื่อ เห็นว่าเป็นคำเหลวไหล แต่เปโตรลุกขึ้นวิ่งไปที่อุโมงค์ เมื่อก้มลงมองดูก็เห็นแต่ผ้าป่านเท่านั้น จึงกลับไปด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น” (ลูกา 24:1-12 ฉบับมาตรฐาน)

พระเยซูคริสต์ในการรับรู้ ในความคิด ในความรู้สึกของเหล่าสาวกและคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์คือ “พระเยซูคริสต์ตายแล้ว” และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ สาวกส่วนหนึ่งซ่อนตัวด้วยกันที่ห้องชั้นบน (อาจจะเป็นบ้านบิดาของมาระโก) มีแต่กลุ่มสตรีอีกเช่นเคยที่วางแผนที่จะแสดงความเคารพรักต่อพระเยซูคริสต์ครั้งสุดท้าย ด้วยการนัดหมายที่จะไปชโลมพระศพของพระองค์ที่อุโมงค์รุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ (วันอาทิตย์)

พระเยซูคริสต์ในชีวิต ความคิด และสำนึกของสตรีกลุ่มนี้คือ “พระศพ” ในอุโมงค์ มีแต่พระเยซูคริสต์ที่ตายแล้วในชีวิตของพวกเธอ ดูเหมือนความฝันความหวังทุกอย่างกำลังจบสิ้นลง และพวกเธอก็ตั้งใจปิดฉากความหวังดังกล่าวด้วยการนำเครื่องหอมและน้ำมันหอมไปชโลมพระศพด้วยความผูกพันและเคารพ ระหว่างทางที่มุ่งไปสู่อุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูจิตใจของพวกเธอมีแต่ความว้าวุ่นกังวลกับอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าว่า แล้วใครจะกลิ้งเอาหินใหญ่ที่ปิดปากอุโมงค์ออก(มาระโก 16:3) เพื่อพวกเธอจะสามารถเข้าถึงพระศพเพื่อนำเครื่องหอมและน้ำมันหอมไปชโลมได้อย่างไร

แต่เมื่อไปถึงอุโมงค์กลับสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่พวกเธออย่างยิ่ง ก้อนหินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกแล้ว พวกเธอคงมิสนใจถามหาว่าใครเป็นคนกลิ้งออกไป แต่เข้าไปที่อุโมงค์ยิ่งต้องประหลาดใจอย่างยิ่งที่ไม่พบพระศพของพระคริสต์ตามที่คาดหมายตั้งใจ น่าสังเกตว่าพวกเธอไม่ได้ดีใจในเหตุการณ์นี้ แต่เสียใจอย่างมากที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตั้งใจ พวกเธอเข้าใจว่าต้องมีคนขโมยพระศพไป หรือ อย่างน้อยย้ายพระศพไปที่อื่น! ใครเป็นคนเอาพระศพไป แล้วเขาเอาไปไว้ที่ไหน กลายเป็นประเด็นร้อนในจิตใจของพวกเธอ

พวกเธอต้องถึงกับตะลึงตกใจกลัวอย่างสุดๆ ที่พบทูตสวรรค์ยืนขนาบที่วางพระศพพระเยซู ยิ่งกว่านั้นทูตสวรรค์ถามพวกเธอด้วยคำถามที่กระตุกความรู้สึกนึกคิดของพวกเธอให้ “ระลึกถึง” คำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่บอกเขาล่วงหน้าถึงการตายและการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ทูตสวรรค์บอกพวกเธอว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในหมู่คนตายทำไม? พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว!...จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่าน...ว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่” (ลูกา 24:5-7 ฉบับมาตรฐาน) พวกเธอจึงระลึกได้ถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์เคยตรัสกับพวกสาวกก่อนหน้านี้แล้ว (ข้อ 8)

พระเยซูคริสต์ในความรู้สึกนึกคิดและในชีวิตของพวกเธอมิใช่ “พระศพ” อีกต่อไป แต่เป็นพระคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว เกิดความชื่นชมยินดี เป็นพลังกระตุ้นให้พวกเธอรีบกลับไปบอกสาวกคนอื่นๆว่า พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว แต่พวกเธอกลับผิดคาดเพราะ “...พวกอัครทูตไม่เชื่อ เห็นว่าเป็นคำเหลวไหล” (ข้อ 11)

ข่าวดี หรือ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย การทรงมีชัยเหนือความตาย ที่ใครประสบพบเจอด้วยตนเอง มีประสบการณ์ตรงกับพระคริสต์ ได้รับการสัมผัสสัมพันธ์กับพระองค์โดยตรงย่อมก่อเกิดความเข้าใจใหม่ เกิดความชื่นชมยินดี ชีวิตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เป็นพลังนำข่าวดีนี้ไปบอกไปแจ้งแก่คนอื่นๆ ทั้งนี้เพราะพระคริสต์ในชีวิตของคนเหล่านี้เป็นพระคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย และพลังแห่งชัยชนะเหนือความตายเป็นพลังในชีวิตของคนเหล่านี้

แต่ถ้าใครที่ได้รับเพียงการบอกเล่า หรือ ข้อมูลเรื่องพระคริสต์เท่านั้นโดยไม่มีประสบการณ์ตรงและสัมผัสกับพระองค์ที่เป็นขึ้นจากความตาย พระคริสต์ในชีวิตของผู้นั้นก็ยังไม่มีชีวิต เป็นเพียงมีความรู้ มีข้อมูล เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ แต่มิใช่พระคริสต์ที่มีชีวิตในคนนั้น

แปลกแต่จริง ทั้งๆ ที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระองค์ก็ไม่มีพระศพที่นั่นแล้ว แต่คริสเตียนทุกวันนี้ส่วนหนึ่งยังแสวงหาที่จะแสดงความรักและเคารพพระเยซูคริสต์ด้วยความคิดที่ต้องการ “ชโลมพระศพพระคริสต์” ด้วยเครื่องหอมและน้ำมันหอม อย่างเช่นกลุ่มสตรีสมัยพระเยซูคาดคิดตั้งใจในครั้งแรกก่อนพบความจริง คริสเตียน ผู้นำคริสตจักร และนักศาสนศาสตร์กลุ่มนี้กลับมาถกเถียงกันว่า การประกอบพิธีบัพติสมาแบบไหนถึงจะถูกต้อง ถึงจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า จะร้องเพลงสรรเสริญด้วยเพลงสั้น หรือ เพลงไทยนมัสการ เพลงชีวิตคริสเตียน จะอธิษฐานในใจหรืออธิษฐานเสียงดังพระเจ้าถึงจะฟัง ถึงจะแสดงว่าคนนั้นร้อนรน จะต้องพูดภาษาแปลกๆ ถึงแสดงว่าเป็นคริสเตียนแท้จริง คาดหวังให้มีคนกลับใจรับบัพติสมาเพิ่มจำนวนสมาชิกคริสตจักรมากขึ้นว่านั่นเป็นเครื่องชี้วัดถึงความเจริญเติบโตเข้มแข็งของชีวิตคริสตจักร หรือจำเป็นจะต้องสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกด้วยหรือไม่?

อะไรคือเครื่องชี้วัดว่า พระคริสต์ในชีวิตของคนๆ นั้น คริสตจักรนั้นๆ สังคมชุมชนนั้นๆ เป็นพระคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว? และ

อะไรคือสิ่งที่ส่อให้เห็นว่าพระคริสต์ในคนๆ นั้น คริสตจักรนั้นๆ และชุมชนนั้นๆ ยังเป็นพระศพที่พวกเขาพยายามปกป้องเก็บรักษาไว้ เพื่อชโลมพระศพนั้น เป็นการแสดงถึงความเคารพรักต่อพระคริสต์?

พระคริสต์ในชีวิตของพวกเราแต่ละคนเป็นขึ้นจากความตายแล้วหรือยัง? หรือยังเป็น “พระศพ” ที่เราหวงไว้บูชา?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น