27 เมษายน 2555

มีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระยาเวห์


25 เมษายน 2012
อ่าน พระธรรมสดุดี 116:1-19

เพราะพระองค์... 
ทรงช่วยข้าพระองค์จากความตาย
ทรงช่วยนัยน์ตาข้าพระองค์จากน้ำตา
ทรงช่วยเท้าข้าพระองค์จากการสะดุด
ข้าพระองค์ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยาเวห์ในดินแดนของคนเป็น
(สดุดี 116:8-9  ฉบับมาตรฐาน  “ในดินแดนของผู้มีชีวิตอยู่” สำนวนอมตธรรม) 

เราท่านเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับ “การดำเนินชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า(หรือ พระยาเวห์)”ตลอดเวลา   จริงๆ แล้วทุกวันนี้เราดำเนินชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลาหรือไม่?  หรือ เราดำเนินชีวิตเพียงบางเวลาเท่านั้นที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า?  เช่น  เวลาที่เราคิดถึงพระองค์   เวลาที่เราอธิษฐาน  เวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์  เวลาที่เราร่วมนมัสการ  เวลาที่เราเฝ้าเดี่ยว  และเวลาที่เราทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระเจ้า   นั่นเป็นความเข้าใจที่ผมเคยมีมาในอดีต 

แต่เมื่อเราพิจารณาจากพระธรรมสดุดีบทนี้  และในพระคัมภีร์หลายต่อหลายตอน  หรือทั้งเล่มแล้วเรากลับพบว่า   แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงสถิตเคียงข้างเราตลอดเวลาในชีวิตนี้  นั่นเป็นน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง   แต่มนุษย์เรากลับรู้สึกว่ามีเพียงบางเวลาเท่านั้น “ที่เราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”   ทั้งนี้เพราะเรามักเข้าใจผิดว่า  เราจะต้องกระทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าถึงจะได้รับพระพร  ถึงจะได้อยู่ต่อหน้าพระเจ้า   แต่ในความเป็นจริงการที่เราอยู่ต่อหน้าพระเจ้านั้นมิได้ขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำของเรา   แต่นั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  และพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลาที่ผ่านมาและในปัจจุบันด้วย

แต่การที่เราคิดและเข้าใจรวมถึงรู้สึกว่า  มีเพียงบางเวลาเท่านั้นที่เราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า   เพราะทัศนคติและหลักเชื่อของเราจำกัดผิดพลาด   ในสดุดีบทนี้  ชี้ให้เห็นชัดว่า...  ผู้เขียนสดุดีบอกว่าท่าน “รักพระยาเวห์ เพราะพระองค์ฟังเสียง และคำวิงวอนของข้าพเจ้า” (ข้อ 1)   และที่เขาติดสนิทและทูลต่อพระเจ้า  เพราะพระเจ้าทรงฟังเขา” (ข้อ 2)  ท่ามกลางความเจ็บปวด  ภาวะเสี่ยงตายในชีวิต  และชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์โศกระทม  ในเวลาวิกฤติชีวิตเช่นนั้น  พระเจ้าอยู่กับเขาที่นั่นแล้ว(ข้อ 3)   แต่การที่เขาทูลต่อพระองค์เพราะเขาได้สัมผัสกับ “พระคุณของพระเจ้า”(ข้อ 5)  พระเจ้าทรงปกป้องผู้เล็กน้อยและตกต่ำ  พระองค์ทรงช่วยให้รอด(ข้อ 6)  และเขาสรุปว่า พระเจ้าทรงดีต่อชีวิตของเขา (ข้อ 7)   ในที่นี้ชัดเจนว่า  ที่ผู้เขียนสดุดี ทูลขอ อธิษฐาน  หวัง และมีชีวิตที่สงบนั้น   มิใช่เพราะเขาทำเช่นนี้เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย  แล้วพระองค์จะได้ทรงนำ  อวยพระพร  และประทานสิ่งดีให้กับเขา   ตรงกันข้ามที่เขาทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพราะ “สำนึกในพระคุณของพระเจ้า”(ข้อ 5)  เป็นการตอบสนองต่อพระคุณความดีของพระเจ้า 

ปัจจุบันนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งที่คริสเตียนจำนวนมากทีเดียวที่ไม่มีรากฐานความเชื่อศรัทธาในประการนี้   แต่กลับมีความเชื่อศรัทธาที่ได้รับอิทธิพลจากความคิดความเชื่อตามกระแสสังคมเรื่องการกระทำเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์(หมูไปไก่มา)   เป็นความเชื่อแบบบริโภคนิยม   ที่คิดว่าจะทำดีเพื่อพระเจ้าจะพอพระทัยแล้วจะได้อวยพระพรแก่เรา   บ่อยครั้งคริสเตียนกระทำดีแบบ “ยื่นหมูยื่นแมว” กับพระเจ้า   ยิ่งกว่านั้นใช้หลักคิดแบบ “ค้ากำไรเกินควร” กับพระเจ้าอีกด้วย   คริสเตียนอธิษฐาน  อ่านพระคัมภีร์  ไปนมัสการที่คริสตจักร  ถวายทรัพย์  ทำความดี   โดยคาดหวังเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับพระพรอันมหาศาลที่ตนเองคาดหวังจากพระเจ้า   ซึ่งเป็นความคิด ความเข้าใจ และความเชื่อที่ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์   เพราะพระเจ้ามิได้อวยพรมนุษย์  ช่วยกอบกู้ชีวิตของมนุษย์  ทรงอยู่ใกล้ในยามที่ชีวิตอับจนข้นแค้น   มิใช่เพราะมนุษย์ทำดีต่อพระองค์  พระองค์จึงต้องกระทำดีตอบแทนมนุษย์  “ไม่ใช่เด็ดขาด! 

ในเมื่อพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา   จึงไม่แปลกที่ผู้เขียนสดุดีบทนี้ยืนยันที่จะมีชีวิตอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลาเมื่อยังมีชีวิตในโลกนี้   ที่เป็นปัญหาคือ มนุษย์เองต่างหากกลับมิได้สัมผัสรับรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเขาทุกเวลา   แต่กลับร้องคร่ำครวญว่าพระเจ้าทอดทิ้งตน   แต่ที่มนุษย์ต้องตกในสภาพเช่นนี้เพราะเขาดำเนินชีวิตตามใจปรารถนาของตนเอง   แล้วละทิ้งพระประสงค์ของพระเจ้า   ดังนั้น  เขาจึงไม่เห็นพระเจ้า  ไม่ได้สัมผัสกับพระองค์   ชีวิตของเขาจึงมิได้ดำเนินอย่างสัมผัสและติดสนิทกับพระเจ้าที่ทรงอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในสภาพการณ์เช่นใด  

ในวันนี้  ให้เราดำเนินชีวิตอยู่ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลาด้วยการทบทวนและนับ “พระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรา”  แสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเราแต่ละคนแล้วดำเนินตาม  เพื่อตอบสนองต่อพระคุณอันเหลือล้นที่ทรงมีในชีวิตของเรา   ให้เรายอมที่จะ “ละทิ้งตนเอง” แทน “การละทิ้งพระประสงค์ของพระเจ้า”  แล้วเราจะดำเนินชีวิตอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าทุกเวลาตลอดวันคืนแห่งชีวิตของเรา   หรือในสดุดีบทที่ 23 ใช้สำนวนว่า  “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป   ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า   และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระยาเวห์สืบไปเป็นนิตย์(ข้อ 6)   ซึ่งมีความหมายเดียวกับที่ว่า  “ข้าพระองค์ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยาเวห์ในดินแดนของคนเป็น” (สดุดี 116:9  ฉบับมาตรฐาน)

ประเด็นสำหรับใคร่ครวญและอภิปรายในกลุ่ม
1.     อะไรที่กระตุ้นเตือนให้ท่านสำนึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างชีวิตท่านตลอดเวลา?
2.     ท่านเชื่อและมั่นใจว่าในการดำเนินชีวิต และ ในการทำงานแต่ละวัน  ท่านดำเนินชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลาหรือไม่?   อะไรที่ทำให้ท่านเชื่อและมั่นใจเช่นนั้น?
3.     การที่เราสำนึกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า   มีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราหรือไม่?  และทำให้การดำเนินชีวิตแตกต่างจากที่เรา มิได้ สำนึกว่าเราดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างไรบ้าง?

ใคร่ครวญภาวนา 

ขอบพระคุณพระเจ้า  ที่ทรงย้ำเตือนข้าพระองค์ผ่านพระธรรมสดุดี บทที่ 116  ว่าแท้จริงแล้วพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างชีวิตของข้าพระองค์ตลอดเวลา   ข้าพระองค์ประสงค์ที่จะดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ในทุกขณะจิตที่มีชีวิตอยู่   ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะเรียนรู้และสำนึกว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย   มิเพียงแต่ในเวลาที่ข้าพระองค์กระทำกิจทางศาสนาเท่านั้น   แต่ในทุกเวลา  ทุกสถานการณ์ชีวิต  และในทุกการกระทำในแต่ละวันของข้าพระองค์ด้วย 

องค์พระผู้เป็นเจ้า   ขอโปรดช่วยข้าพระองค์มีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในขณะที่ทำงาน   โปรดช่วยให้ข้าพระองค์นำการทำงานต่างๆ ในวันนี้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์   และโปรดให้การสนทนาสื่อสารกับผู้คนให้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยเช่นกัน   และเมื่อข้าพระองค์รับประทานอาหารมื้อค่ำกับครอบครัวก็ให้อยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วย  และโปรดให้การดำเนินชีวิตตลอดวันนี้ในทุกกิจกรรมเป็นการดำเนินเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์  อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น