20 เมษายน 2555

ท่าทีเยี่ยงพระคริสต์

20 เมษายน 2012

อ่านพระธรรมฟีลิปปี 2:5-8

5ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระคริสต์
6ผู้ทรงสภาพพระเจ้า
แต่ไม่ทรงยึดติดในความเท่าเทียมกับพระเจ้า
7พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง
มารับสภาพทาส
บังเกิดเป็นมนุษย์
8และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พระองค์ยอมถ่อมพระองค์ลง และ
ยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน (ฟีลิปปี 2:5-8 อมตธรรม)

ในพระธรรมฟีลิปปีตอนนี้ เปาโลชี้ชัดถึงสภาพจริงๆ ในชีวิตของพระคริสต์ และท่าทีที่พระเยซูแสดงออก ตลอดจนแนวทางการใช้ชีวิตของพระองค์ พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์อย่างครบถ้วนในทุกด้าน และในขณะเดียวกันพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อพระองค์ทรงสภาพมนุษย์พระองค์ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม ถึงแม้สภาพความเป็นมนุษย์ของพระองค์คือชาวบ้านธรรมดา ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ปราศจากตำแหน่งผู้นำในศาสนาและการเมือง มิได้เป็นผู้บริหารหรือจัดการองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับนับถือของคนในสมัยนั้น

เมื่อพระองค์ทรงสภาพมนุษย์ที่พูนพร้อมความเป็นพระเจ้า พระองค์กลับใช้ชีวิตกับผู้คนในท้องถนน ในชุมชน พระองค์มีชีวิตที่เคียงข้างคนชายขอบสังคม พระองค์ให้ความเมตตาและเอาใจใส่ต่อคนเจ็บป่วย คนไร้ที่พึ่งพิง คนยากคนจน คนที่ชีวิตถูกกระหน่ำด้วยบาดแผลภายในชีวิต คนที่สังคมตีตราว่า “ไม่สะอาด” ถูกกีดกันจากสังคม ถูกตัดรอนคุณค่าและความหมายแห่งชีวิต คนที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำในชีวิตจนไม่สามารถหลุดรอดออกจากกงเล็บของมัน พระองค์เอาใจใส่คนตาบอดรักษาให้กลับสามารถเห็นได้ เพื่อสร้างผลกระทบต่อชีวิตของเจ้าตัว ครอบครัว และชุมชน พระองค์เป็นผู้สรรค์สร้างความหวังแก่ชีวิตที่สิ้นหวังเช่นโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ พระองค์ช่วยให้คนค้นพบคุณค่าในชีวิตอย่างเช่นศักเคียส พระองค์เอาใจใส่คนที่สังคมยิวรังเกียจเดียดฉันท์เช่นหญิงสะมาเรียที่ต้องมาตักน้ำที่บ่อในเวลาเที่ยงวันที่ปลอดคน พระองค์ทรงปกป้องคนทำบาปอย่างเช่นหญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี

สำหรับมุมมองของพระเยซูแล้ว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ จะเป็นทหารโรมันหรือชาวบ้านคนยิว จะเป็นหญิงโสเภณีหรือปุโรหิตหรือธรรมมาจารย์ จะเป็นคนสะมาเรียหรือมหาปุโรหิต จะเป็นลูกช่างล้างผลาญหรือเป็นลูกที่ว่านอนสอนง่าย จะเป็นคนเก็บภาษีหรือคนฟาริสี และ ฯลฯ พระองค์ทรงเห็นคุณค่าในคนเหล่านี้ที่มีเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระเจ้า และที่สำคัญคือทุกคนควรค่าที่จะได้รับความเมตตาของพระเจ้า มิใช่คนเหล่านี้สมควรเหมาะสมที่จะได้รับความรักเมตตาของพระองค์ แต่ที่ทุกคนควรค่าที่จะได้รับความรักเมตตาของพระเจ้าเพราะ พระเจ้าทรงรักเมตตาทุกคนอย่างปราศจากเงื่อนไข

ความรักเมตตาที่พระองค์ให้สูงสุดคือ พระองค์ทรงให้ชีวิตแก่ผู้คน คือให้ทุกคนได้รับชีวิตใหม่ โอกาสใหม่ และคุณค่าความหมายใหม่ในชีวิต พระองค์ทรงรักมนุษย์และให้ชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์แก่มนุษย์แต่ละคน เพื่อคนเหล่านั้นที่ได้รับชีวิตใหม่จากความรักเมตตาที่เสียสละของพระองค์ จะมีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งมุมมอง ความคิด ทัศนคติ ระบบคุณธรรมและคุณค่า เพื่อคนเหล่านี้จะมีชีวิตที่ได้รับการทรงเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะมีชีวิตที่เรียบง่าย ชีวิตที่ให้และเสียสละด้วยจิตใจที่รักเมตตาเยี่ยงพระคริสต์ และที่จะรักคนอื่นและสังคมโลกอย่างไร้เงื่อนไข

สำหรับพระคริสต์แล้ว ความรักเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงให้กับมนุษย์ และ ประสงค์ที่จะให้สาวกของพระองค์ทุกคนให้แก่คนอื่นรอบข้างคือการให้ชีวิต “ไม่มีผู้ใดที่มีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้คือการที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน”(ยอห์น 15:13) และภาพที่เราน่าจะใช้ย้ำเตือนเราในทุกเหตุการณ์ได้อย่างดีคือ ภาพของพระคริสต์ที่ถูกตรึงบนกางเขน ภาพนี้มิใช่ภาพเพื่อจะสอนถึงมหาทรมานของพระคริสต์ แต่เป็นภาพแห่งความรักเมตตาของพระองค์ที่มีแก่คนอื่น เป็นภาพที่เราท่านไม่สามารถหยั่งรู้เข้าใจได้ทั้งหมด เพราะเป็นความรักเมตตาที่ต้องการพลังมหาศาลในชีวิต แต่เราสามารถที่จะหยั่งรู้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น ซึมซับลงลึกซึ้งขึ้นผ่านการเรียนรู้ในสถานการณ์ชีวิตจริงของเราด้วยประสบการที่เราตอบสนองต่อพระคริสต์ด้วยทั้งสิ้นชีวิต ด้วยสุดจิตสุดใจสุดความคิดและชีวิตของเรา และด้วยพลังชีวิตแห่งความรักเมตตาเช่นนี้เอง ที่เราสามารถกระทำอย่างที่พระคริสต์ทรงสอนได้ เช่น หันแก้มอีกข้างหนึ่งเมื่อถูกตบ ยกโทษอย่างไม่มีเงื่อนไขและไร้ขีดจำกัด รับใช้แม้แต่คนที่เราเกลียดหรือเป็นศัตรูของเรา ยิ่งกว่านั้นรับใช้มากกว่าที่ถูกใช้ให้ทำ

ถ้าเรายืนหยัดบนจุดยืนของพระคริสต์ในการให้ชีวิตเช่นนี้ แม้เราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด เราจะไม่ต้องตั้งคำถามที่มาจากความขมขื่นใจว่า “ทำไมพระเจ้าทำกับฉันทำกับคนที่ฉันรักเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เรารับใช้พระองค์มาตลอดชีวิต?” แต่เรากลับแสวงหาว่า “ในสถานการณ์นี้พระองค์ประสงค์ให้ข้าพระองค์สำแดงความรักเมตตาที่เสียสละเยี่ยงพระองค์อย่างไร?”

“เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมกับที่เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะได้เป็นที่พอพระทัยในทุกด้าน คือเกิดผลในการดีทุกอย่าง รู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวล... เพื่อท่านจะอดทนอย่างยิ่งและมีความชื่นชมยินดี” (โคโลสี 1:10-11 อมตธรรม) พระเจ้ามีพระประสงค์ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าเช่นนั้นในทุกสถานการณ์ไม่ว่าดีหรือเลวร้ายจะเกิดผลในการดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า และเมื่อเราแสวงหาพระประสงค์ที่จะกระทำตามในทุกสถานการณ์เราจะได้รับประสบการณ์สัมผัสจากพระองค์ ทำให้เรา “รู้จักพระเจ้ายิ่งขึ้น” ยิ่งกว่านั้น ถ้าเรากระทำตามพระประสงค์ในทุกสถานการณ์ ประสบการณ์จากการกระทำตามพระประสงค์จะเป็นโอกาสที่เราจะรับการทรงเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้น และในทุกสถานการณ์เราจะมีความอดทนพร้อมด้วยความชื่นชมยินดี

ดังนั้น ผลดีที่เกิดขึ้นมิใช่ผลดีที่เกิดจากการที่เรากระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่เกิดผลดีต่อชีวิตการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ขณะเมื่อเรายอมจำนนที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสถานการณ์ชีวิต เราจึงมิได้กระทำเพราะเราเป็นคนดี คิดดี เพื่อทำดี และเป็นคนเก่ง เพราะในหลายๆสถานการณ์นั้นเราไม่สามารถที่จะทำให้เกิดผลดีด้วยตัวเราเอง ด้วยความสามารถของเราเองได้เลย แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญาของพระคริสต์ทรงกระทำงานต่างๆ ในสถานการณ์นั้นผ่านชีวิตที่ยอมจำนนของเราต่างหาก สิ่งดีๆ จึงเกิดขึ้น เราจึงเติบโตขึ้น มีชีวิตเหมือนพระคริสต์มากขึ้น เราจึงเข้มแข็งขึ้นในพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น