16 ธันวาคม 2558

โปรดเข้าใจผมด้วยครับ...!:เสียงจากเจ้าของโรงเตี๊ยมที่เบธเลเฮม

เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสทีไร   ผมทั้งดีใจและไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน!

ที่ไม่สบายใจเอามาก ๆ ก็เพราะคนทั่วโลกเมื่ออ่านเรื่องราวของมารีย์  โยเซฟ และ ทารกน้อยในรางหญ้าที่คอกสัตว์มักจะมองหรือเข้าใจว่า  ผมเป็นเจ้าของโรงแรมที่ใจจืดใจดำ  หรือไม่ก็เป็นเจ้าของโรงแรมที่เห็นแก่เงิน   จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย   นี่ไม่ใช่พยายามแก้ตัวหรอก   แต่ขอฟังผมก่อนได้ไหมว่า เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่

ที่ผมมาเป็นเจ้าของโรงแรมมิใช่เพราะว่า ผมเป็นพ่อค้าต้องการหากำไรในการทำธุรกิจต่าง ๆ  รวมถึงธุรกิจโรงแรม   แต่ที่ว่าเป็นโรงแรมของผมนั้น   มันเป็นเพียงบ้านหลังใหญ่ที่คุณปู่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยให้พอสำหรับลูกหลานจำนวนทั้งหมด 14 คน   แต่พอเมื่อเด็ก ๆ ในครอบครัวเติบโตและต่างไปมีครอบครัวของตนเอง   บ้านหลังใหญ่โตหลังนี้ก็มีแต่ห้องว่าง  แทนที่จะปล่อยทิ้งให้ว่างเปล่า  เลยเปิดรับคนเดินทางที่ต้องการที่พักมาพักกับเราในบ้านหลังนี้  แท้จริงมันก็เป็นโรงเตี๊ยมดี ๆ นี่เองครับ    ที่ผ่านมาวัน ๆ หนึ่งก็มีผู้เข้ามาเช่าห้องพัก 2-3 คน   พอดีราเชลภรรยาของผมแกทำอาหารรสชาติดี  เลยทำอาหารสำหรับแขกที่มาพักด้วย   หลายคนที่เคยพักในบ้านเรา   ถ้าได้เดินทางผ่านมาอีกมักจะกลับมาพักอีกเป็นประจำ   หลายคนติดใจฝีมืออาหารของราเชลครับ

จนอยู่มาปีหนึ่ง  อ้ายพวกเผด็จการโรมันที่เฮงซวยที่สุดที่ผมพบในชีวิต   มันสั่งให้ผู้คนต้องกลับไปภูมิลำเนา (บ้านเกิด) ของตนเพื่อไปจดทะเบียนสำมะโนครัว   เป็นที่รู้อยู่กะใจว่าอ้ายพวกนักปกครองห่วยแตกพวกนี้มันคิดแต่หาวิธีรีดเก็บภาษีจากพวกเราทุกคนก็แค่นั้นเอง   ทีนี้สถานการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้นซิ   เมื่อถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องไปจดทะเบียนสำมะโนครัว   ผู้คนหลั่งไหลกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างมืดฟ้ามัวดิน   ที่บ้านเบธเลเฮมก็ตกในสภาพเช่นกันนี้   แท้จริงแล้วในบ้านหลังใหญ่ของเรามี 4 ห้องใหญ่ ๆ เมื่อก่อนนั้นให้แขกเช่าห้องอยู่กันห้องละ 2-3 คน สบาย ๆ แต่มาในเวลานี้ทุกห้องมีคนพัก 3-4 ครอบครัว ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก คุณจินตนาการเอาเองก็แล้วกันว่า  ห้องหนึ่งเกินสิบคนมันยัดเยียดแออัดกันแค่ไหน

มีแต่ผู้คนมาเคาะประตูขอเช่าห้องพัก   พอบอกว่าห้องเต็มก็ร้องขอว่าขอเพียงมุมใดมุมหนึ่งที่จะซุกหัวในบ้านก็พอใจ   เรารับเท่าที่จะรับอัดแน่นได้   และในที่สุดเรารับอีก 3 ครอบครัวมาอยู่ในห้องพักของเราเอง  เป็นอันว่าใครมาอีกก็ไม่มีที่จะให้มุดหัวเข้ามาแล้ว  แต่ก็ไม่วายในเวลาค่ำคืนดึกดื่นจะมีคนมาเคาะประตูขอห้องพักไม่ขาดสาย

เที่ยงคืนแล้วเห็นจะได้   มีเสียงมาเคาะประตูอีก   เดาได้เลยมาขอห้องพัก   ผมก็ตะโกนกลับไปว่าไม่มีที่ให้ซุกหัวแล้ว   แต่เสียงชายหนุ่มคนนี้ไม่ลดละและบอกอีกว่า  เขาจำเป็นต้องหาที่พักให้ได้ที่ไหนก็ได้   เพราะคนที่มาด้วยกับเขากำลังลำบากเอามาก ๆ   ทำให้ผมต้องตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปพูดให้รู้เรื่อง   ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมไป และ ผมก็จะไม่ได้นอนแน่ ๆ   นอกจากต้องลุกจากที่นอนอันอบอุ่น   ยังเดินสะดุดร่างคนนอนที่พื้นที่ระเกะระกะมองไม่เห็น  ผมเกือบล้ม 2-3 ครั้ง

พอผมเปิดแง้มประตูออกไป   เขาบอกว่า มารีย์ตัวเล็กของเขาคนนี้ท้องกำลังจะเกิดลูกสักพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้   ผมมองไปที่หญิงคนนั้นดูเหมือนตัวเล็กแต่ท้องไม่เล็กเลย   ท้องแก่   ผมว่าชายคนนี้ยังไม่เคยมีลูกมาก่อนแน่   ไม่ใช่จะคลอดวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้หรอก   มันกำลังจะคลอดอยู่แล้ว   ดูซิเหงื่อเม็ดเป้ง ๆ ผุดเต็มหน้าผากของหญิงคนนี้   ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้   ชายคนนี้เริ่มอ้อนวอนว่า  เขาต้องการมีที่พักสำหรับภรรยาของเขาที่จะหลบจากลมหนาวที่กระโชกแรงมาเป็นครั้ง ๆ

ในเวลาคับขันเช่นนี้ผมไม่รู้จะช่วยคู่ชีวิตที่น่าสงสารนี้ได้อย่างไร   คิดได้เพียงแต่ว่า  ก็เหลือแต่คอกเลี้ยงสัตว์หลังบ้านของเรา   อาจจะดีกว่าที่จะไปนอนเกิดลูกข้างถนนเป็นแน่

ผมเสนอเขาว่ามีที่ว่างที่คอกเลี้ยงสัตว์  ชายคนนั้นตอบรับคว้าหมับทันที   ผมพาเขาทั้งสองอ้อมไปหลังบ้านที่คอกเลี้ยงสัตว์   แล้วไล่สัตว์บางตัวให้ออกไปที่นอกคอกเลี้ยง   เพื่อที่จะให้มีที่แห้งสำหรับเขาทั้งสอง   ผมสังเกตเห็นหญิงน้อยคนนี้อุ้มท้องที่โตใหญ่ของเธอด้วยอาการที่กำลังเจ็บปวด   และมีเหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ผุดออกมาเต็มหน้าผากของเธอ   ผมรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมทันทีว่า   ไม่ใช่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้หรอก   เธอกำลังจะเกิดลูกในเวลาอันใกล้นี้แล้ว   ผมรีบไปปลุกราเชลภรรยาให้ออกมาช่วยว่าที่พ่อแม่ใหม่คู่นี้   ส่วนผมรีบวิ่งไปบ้านของป้าซาราห์  ที่เป็นหมอตำแยให้มาช่วยทำคลอดให้หญิงคนนี้

ป้าซาราห์ พอมาเห็นหญิงสาวคนนี้บอกอย่างที่ผมคาดเดาเลย   เธอกำลังจะคลอดลูกแล้ว   เลยรีบจัดที่จัดทาง   ปูฟางบนพื้นให้เป็นที่นอนสำหรับหญิงสาวท้องแก่   แล้วก็ไล่ผมและชายหนุ่มให้ออกไปจากคอกสัตว์ว่า   “ที่นี่ไม่ที่ว่างสำหรับผู้ชาย”   ผมกับโยเซฟถูกไล่ออกมา   เหลือแต่ป้าซาราห์และราเชลภรรยาของผมเท่านั้น   เราทั้งสองเลยต้องมานั่งรอข้างบ้านนอกโรงเลี้ยงสัตว์

เวลาผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง   ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงทารกร้องไห้   พร้อมกับเสียงของป้าซาราห์ว่า “เธอได้ลูกผู้ชาย”   พร้อมกันนั้นผมแอบมองผ่านมุมบ้านไปที่โรงเลี้ยงสัตว์   ป้าซาราห์อุ้มทารกส่งต่อไปให้ราเชล   หลังจากเช็ดทำความสะอาดแล้ว ภรรยาของผมก็เอาผ้าอ้อมสะอาดพันรอบตัวทารกน้อยนั้นอย่างทะนุถนอม

โยเซฟชายหนุ่มคนนั้นก็เข้าไปที่คอกสัตว์แล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อจากหน้าของหญิงคนนั้นที่ชื่อมารีย์   แล้วราเชลก็ส่งทารกน้อยนั้นให้ผมได้อุ้ม   พร้อมกับพูดว่า “จำตอนที่โยชูวาของเราเกิดได้ไหม?”   เราส่งทารกน้อยกลับไปให้โยเซฟ และ กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของมารีย์ผู้เป็นแม่   แสงจากตะเกียงของเรากำลังริบหรี่แล้วเพราะน้ำมันกำลังใกล้หมด   ผมเดินไปส่งป้าซาราห์ที่บ้านของเธอ   ผ่านลมหนาวที่พัดอย่างเยือกเย็น

กว่าผมจะกลับมาถึงบ้าน  ราเซลภรรยาของผมก็หลับใหลไปแล้ว    ส่วนผมก็ง่วงงัวเงียเต็มทน   กำลังจะมุดตัวเข้าในผ้าห่มอันแสนจะอุ่น   แต่ผมได้ยินเสียงใครบ่นพึมพำฟังไม่ศัพท์ที่คอกสัตว์   ผมตัดสินใจลุกจากเตียงแล้วมองไปที่คอกสัตว์   ผมเห็นคนเลี้ยงแกะแต่งตัวโกโรโกโส ดูสกปรกกำลังคุกเข่าแล้วก้มลงกราบทารกน้อยนั้น   แล้วคนเลี้ยงแกะที่มีอายุคนหนึ่งเล่าให้โยเซฟฟังถึงเรื่องทูตสวรรค์ และ เรื่องพระเมสสิยาห์   คนอื่น ๆ ก้มกราบลง  เมื่อลุกขึ้นผมเห็นบางคนมีน้ำตาไหลอาบแก้ม

ผมกระแอมแล้วทำเสียงไอ   โยเซฟมองมาที่ผม   ตอนนั้นผมเกือบจะไล่พวกคนเลี้ยงแกะที่กลิ่นแรงและสกปรกเหล่านั้นให้ออกไป   แต่โยเซฟยกมือบอกผมว่าไม่มีอะไร   พร้อมกับบอกผมเบาๆว่า   “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น   พวกเขาเพียงมาดูทารกที่เป็นพระคริสต์”

ทารกที่เป็นพระคริสต์!   พระเมสสิยาห์?   ผมคุกเข่าน้อมตัวลงโดยไม่รู้ตัว   ทั้งอธิษฐานในใจ   และฟังเรื่องราวอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากผู้เฒ่าคนเลี้ยงแกะคนนั้น   มีเสียงก้องในจิตใจของผม   “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์  พระคริสต์เกิดในคอกสัตว์ของฉัน   พระองค์หลับสงบในรางหญ้าสัตว์เลี้ยง   ฟางในบ้านของฉัน   สัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนของทารกน้อย   ภรรยาของผมมีโอกาสเป็นผู้ช่วยหมอตำแยทำคลอดพระคริสต์!   และนี่คือโอกาสที่ผมได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”

คนอื่นจะคิดอย่างไรผมไปห้ามเขาไม่ได้   แต่ผมชื่นชมยินดีที่มีโอกาสเปิดคอกสัตว์ เปิดครอบครัวต้อนรับทารกน้อยและครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์นี้   ผมรู้ตัวเองว่า ผมไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมที่งก ใจคับแคบ   แต่ผมดีใจที่ผมได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น   และคุณรู้อะไรหรือเปล่า   หลังจากนั้นอีกหลายปีทารกคนนี้ได้เติบใหญ่และกลับมาที่เบธเลเฮม   แต่ครั้งนี้เป็นชายหนุ่มที่มาบอกถึงเรื่องราวแห่งแผ่นดินของพระเจ้า   และผมขอบอกว่า ผมเชื่อในคำสอนของเขา   ผมเชื่อด้วยว่าถ้าคุณได้เห็นอย่างที่ผมเห็นคุณก็จะเชื่อด้วยเช่นกันแน่

เรียบเรียงและเล่าใหม่จากข้อเขียนของ Dr. Ralph F. Wilson
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น