เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสทีไร ผมทั้งดีใจและไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน!
ที่ไม่สบายใจเอามาก ๆ ก็เพราะคนทั่วโลกเมื่ออ่านเรื่องราวของมารีย์ โยเซฟ และ ทารกน้อยในรางหญ้าที่คอกสัตว์มักจะมองหรือเข้าใจว่า ผมเป็นเจ้าของโรงแรมที่ใจจืดใจดำ หรือไม่ก็เป็นเจ้าของโรงแรมที่เห็นแก่เงิน จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย นี่ไม่ใช่พยายามแก้ตัวหรอก แต่ขอฟังผมก่อนได้ไหมว่า เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่
ที่ผมมาเป็นเจ้าของโรงแรมมิใช่เพราะว่า
ผมเป็นพ่อค้าต้องการหากำไรในการทำธุรกิจต่าง ๆ
รวมถึงธุรกิจโรงแรม
แต่ที่ว่าเป็นโรงแรมของผมนั้น มันเป็นเพียงบ้านหลังใหญ่ที่คุณปู่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยให้พอสำหรับลูกหลานจำนวนทั้งหมด
14 คน
แต่พอเมื่อเด็ก ๆ ในครอบครัวเติบโตและต่างไปมีครอบครัวของตนเอง บ้านหลังใหญ่โตหลังนี้ก็มีแต่ห้องว่าง แทนที่จะปล่อยทิ้งให้ว่างเปล่า
เลยเปิดรับคนเดินทางที่ต้องการที่พักมาพักกับเราในบ้านหลังนี้ แท้จริงมันก็เป็นโรงเตี๊ยมดี ๆ นี่เองครับ ที่ผ่านมาวัน
ๆ หนึ่งก็มีผู้เข้ามาเช่าห้องพัก 2-3 คน พอดีราเชลภรรยาของผมแกทำอาหารรสชาติดี เลยทำอาหารสำหรับแขกที่มาพักด้วย หลายคนที่เคยพักในบ้านเรา ถ้าได้เดินทางผ่านมาอีกมักจะกลับมาพักอีกเป็นประจำ หลายคนติดใจฝีมืออาหารของราเชลครับ
จนอยู่มาปีหนึ่ง อ้ายพวกเผด็จการโรมันที่เฮงซวยที่สุดที่ผมพบในชีวิต มันสั่งให้ผู้คนต้องกลับไปภูมิลำเนา
(บ้านเกิด) ของตนเพื่อไปจดทะเบียนสำมะโนครัว
เป็นที่รู้อยู่กะใจว่าอ้ายพวกนักปกครองห่วยแตกพวกนี้มันคิดแต่หาวิธีรีดเก็บภาษีจากพวกเราทุกคนก็แค่นั้นเอง ทีนี้สถานการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้นซิ เมื่อถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องไปจดทะเบียนสำมะโนครัว ผู้คนหลั่งไหลกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างมืดฟ้ามัวดิน ที่บ้านเบธเลเฮมก็ตกในสภาพเช่นกันนี้ แท้จริงแล้วในบ้านหลังใหญ่ของเรามี 4 ห้องใหญ่ ๆ เมื่อก่อนนั้นให้แขกเช่าห้องอยู่กันห้องละ 2-3 คน สบาย ๆ แต่มาในเวลานี้ทุกห้องมีคนพัก 3-4
ครอบครัว ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก คุณจินตนาการเอาเองก็แล้วกันว่า ห้องหนึ่งเกินสิบคนมันยัดเยียดแออัดกันแค่ไหน
มีแต่ผู้คนมาเคาะประตูขอเช่าห้องพัก พอบอกว่าห้องเต็มก็ร้องขอว่าขอเพียงมุมใดมุมหนึ่งที่จะซุกหัวในบ้านก็พอใจ เรารับเท่าที่จะรับอัดแน่นได้ และในที่สุดเรารับอีก 3
ครอบครัวมาอยู่ในห้องพักของเราเอง เป็นอันว่าใครมาอีกก็ไม่มีที่จะให้มุดหัวเข้ามาแล้ว แต่ก็ไม่วายในเวลาค่ำคืนดึกดื่นจะมีคนมาเคาะประตูขอห้องพักไม่ขาดสาย
เที่ยงคืนแล้วเห็นจะได้ มีเสียงมาเคาะประตูอีก เดาได้เลยมาขอห้องพัก ผมก็ตะโกนกลับไปว่าไม่มีที่ให้ซุกหัวแล้ว
แต่เสียงชายหนุ่มคนนี้ไม่ลดละและบอกอีกว่า
เขาจำเป็นต้องหาที่พักให้ได้ที่ไหนก็ได้
เพราะคนที่มาด้วยกับเขากำลังลำบากเอามาก ๆ
ทำให้ผมต้องตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปพูดให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมไป และ
ผมก็จะไม่ได้นอนแน่ ๆ นอกจากต้องลุกจากที่นอนอันอบอุ่น
ยังเดินสะดุดร่างคนนอนที่พื้นที่ระเกะระกะมองไม่เห็น ผมเกือบล้ม 2-3 ครั้ง
พอผมเปิดแง้มประตูออกไป เขาบอกว่า
มารีย์ตัวเล็กของเขาคนนี้ท้องกำลังจะเกิดลูกสักพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้
ผมมองไปที่หญิงคนนั้นดูเหมือนตัวเล็กแต่ท้องไม่เล็กเลย ท้องแก่
ผมว่าชายคนนี้ยังไม่เคยมีลูกมาก่อนแน่
ไม่ใช่จะคลอดวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้หรอก
มันกำลังจะคลอดอยู่แล้ว
ดูซิเหงื่อเม็ดเป้ง ๆ ผุดเต็มหน้าผากของหญิงคนนี้ ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ชายคนนี้เริ่มอ้อนวอนว่า เขาต้องการมีที่พักสำหรับภรรยาของเขาที่จะหลบจากลมหนาวที่กระโชกแรงมาเป็นครั้ง
ๆ
ในเวลาคับขันเช่นนี้ผมไม่รู้จะช่วยคู่ชีวิตที่น่าสงสารนี้ได้อย่างไร คิดได้เพียงแต่ว่า ก็เหลือแต่คอกเลี้ยงสัตว์หลังบ้านของเรา อาจจะดีกว่าที่จะไปนอนเกิดลูกข้างถนนเป็นแน่
ผมเสนอเขาว่ามีที่ว่างที่คอกเลี้ยงสัตว์ ชายคนนั้นตอบรับคว้าหมับทันที
ผมพาเขาทั้งสองอ้อมไปหลังบ้านที่คอกเลี้ยงสัตว์ แล้วไล่สัตว์บางตัวให้ออกไปที่นอกคอกเลี้ยง เพื่อที่จะให้มีที่แห้งสำหรับเขาทั้งสอง
ผมสังเกตเห็นหญิงน้อยคนนี้อุ้มท้องที่โตใหญ่ของเธอด้วยอาการที่กำลังเจ็บปวด และมีเหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ผุดออกมาเต็มหน้าผากของเธอ ผมรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมทันทีว่า ไม่ใช่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้หรอก เธอกำลังจะเกิดลูกในเวลาอันใกล้นี้แล้ว ผมรีบไปปลุกราเชลภรรยาให้ออกมาช่วยว่าที่พ่อแม่ใหม่คู่นี้ ส่วนผมรีบวิ่งไปบ้านของป้าซาราห์ ที่เป็นหมอตำแยให้มาช่วยทำคลอดให้หญิงคนนี้
ป้าซาราห์
พอมาเห็นหญิงสาวคนนี้บอกอย่างที่ผมคาดเดาเลย
เธอกำลังจะคลอดลูกแล้ว
เลยรีบจัดที่จัดทาง
ปูฟางบนพื้นให้เป็นที่นอนสำหรับหญิงสาวท้องแก่ แล้วก็ไล่ผมและชายหนุ่มให้ออกไปจากคอกสัตว์ว่า “ที่นี่ไม่ที่ว่างสำหรับผู้ชาย” ผมกับโยเซฟถูกไล่ออกมา เหลือแต่ป้าซาราห์และราเชลภรรยาของผมเท่านั้น เราทั้งสองเลยต้องมานั่งรอข้างบ้านนอกโรงเลี้ยงสัตว์
เวลาผ่านไปกว่า 1
ชั่วโมง ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงทารกร้องไห้ พร้อมกับเสียงของป้าซาราห์ว่า
“เธอได้ลูกผู้ชาย” พร้อมกันนั้นผมแอบมองผ่านมุมบ้านไปที่โรงเลี้ยงสัตว์ ป้าซาราห์อุ้มทารกส่งต่อไปให้ราเชล หลังจากเช็ดทำความสะอาดแล้ว
ภรรยาของผมก็เอาผ้าอ้อมสะอาดพันรอบตัวทารกน้อยนั้นอย่างทะนุถนอม
โยเซฟชายหนุ่มคนนั้นก็เข้าไปที่คอกสัตว์แล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อจากหน้าของหญิงคนนั้นที่ชื่อมารีย์ แล้วราเชลก็ส่งทารกน้อยนั้นให้ผมได้อุ้ม พร้อมกับพูดว่า
“จำตอนที่โยชูวาของเราเกิดได้ไหม?”
เราส่งทารกน้อยกลับไปให้โยเซฟ และ
กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของมารีย์ผู้เป็นแม่
แสงจากตะเกียงของเรากำลังริบหรี่แล้วเพราะน้ำมันกำลังใกล้หมด ผมเดินไปส่งป้าซาราห์ที่บ้านของเธอ ผ่านลมหนาวที่พัดอย่างเยือกเย็น
กว่าผมจะกลับมาถึงบ้าน ราเซลภรรยาของผมก็หลับใหลไปแล้ว ส่วนผมก็ง่วงงัวเงียเต็มทน กำลังจะมุดตัวเข้าในผ้าห่มอันแสนจะอุ่น แต่ผมได้ยินเสียงใครบ่นพึมพำฟังไม่ศัพท์ที่คอกสัตว์ ผมตัดสินใจลุกจากเตียงแล้วมองไปที่คอกสัตว์ ผมเห็นคนเลี้ยงแกะแต่งตัวโกโรโกโส
ดูสกปรกกำลังคุกเข่าแล้วก้มลงกราบทารกน้อยนั้น
แล้วคนเลี้ยงแกะที่มีอายุคนหนึ่งเล่าให้โยเซฟฟังถึงเรื่องทูตสวรรค์ และ
เรื่องพระเมสสิยาห์ คนอื่น ๆ ก้มกราบลง เมื่อลุกขึ้นผมเห็นบางคนมีน้ำตาไหลอาบแก้ม
ผมกระแอมแล้วทำเสียงไอ โยเซฟมองมาที่ผม
ตอนนั้นผมเกือบจะไล่พวกคนเลี้ยงแกะที่กลิ่นแรงและสกปรกเหล่านั้นให้ออกไป แต่โยเซฟยกมือบอกผมว่าไม่มีอะไร พร้อมกับบอกผมเบาๆว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาเพียงมาดูทารกที่เป็นพระคริสต์”
ทารกที่เป็นพระคริสต์! พระเมสสิยาห์? ผมคุกเข่าน้อมตัวลงโดยไม่รู้ตัว ทั้งอธิษฐานในใจ
และฟังเรื่องราวอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากผู้เฒ่าคนเลี้ยงแกะคนนั้น มีเสียงก้องในจิตใจของผม “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระคริสต์เกิดในคอกสัตว์ของฉัน พระองค์หลับสงบในรางหญ้าสัตว์เลี้ยง ฟางในบ้านของฉัน สัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนของทารกน้อย ภรรยาของผมมีโอกาสเป็นผู้ช่วยหมอตำแยทำคลอดพระคริสต์!
และนี่คือโอกาสที่ผมได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”
คนอื่นจะคิดอย่างไรผมไปห้ามเขาไม่ได้ แต่ผมชื่นชมยินดีที่มีโอกาสเปิดคอกสัตว์
เปิดครอบครัวต้อนรับทารกน้อยและครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์นี้ ผมรู้ตัวเองว่า
ผมไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมที่งก ใจคับแคบ
แต่ผมดีใจที่ผมได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น และคุณรู้อะไรหรือเปล่า หลังจากนั้นอีกหลายปีทารกคนนี้ได้เติบใหญ่และกลับมาที่เบธเลเฮม
แต่ครั้งนี้เป็นชายหนุ่มที่มาบอกถึงเรื่องราวแห่งแผ่นดินของพระเจ้า และผมขอบอกว่า ผมเชื่อในคำสอนของเขา ผมเชื่อด้วยว่าถ้าคุณได้เห็นอย่างที่ผมเห็นคุณก็จะเชื่อด้วยเช่นกันแน่
เรียบเรียงและเล่าใหม่จากข้อเขียนของ
Dr.
Ralph F. Wilson
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น