ท่านอยากได้อะไร ท่านจงให้สิ่งนั้น แล้วท่านจะได้รับสิ่งนั้น
และจะได้มากมายกว่าที่ท่านให้เป็นร้อยเท่าพันทวีทีเดียว
เฉกเช่น เกษตรกร
ถ้าเกษตรกรต้องการเก็บเกี่ยวข้าว
ตามหลักการธรรมชาติแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า เขาจะต้องหว่านข้าว ปลูกข้าว
จึงจะได้เก็บเกี่ยวข้าว เขาจะต้อง
“ให้” ความตั้งใจ แรงงาน
และเมล็ดพันธุ์ข้าวตกลงในดิน
ยอมให้ข้าวเชื้อส่วนหนึ่ง
แต่เมื่อมันงอก เติบโต และเกิดผล
ข้าวเมล็ดนั้นมิได้ให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวเพียงข้าวเมล็ดเดียว หรือ
รวงเดียว
แต่หลายรวงรวมแล้วเป็นเมล็ดข้าวมากมายจากพันธุ์ข้าว 1
เมล็ด ที่เราเรียกว่า
ได้ข้าวกลับคืนร้อยเท่าพันทวี เช่นนั้น
และนี่คือพระพรที่พระเจ้าทรงอวยพระพรว่าให้เกิดผลดกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน...มิใช่หรือ?
แต่ก็ยังมีหลักการธรรมชาติแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าประการที่สองคือ จากช่วงเวลาของการหว่าน ถึงช่วงเวลาของการปลูก และถึงช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว เป็นช่วงเวลาที่เกษตรกรต้อง “รอคอย”
ในช่วงเวลาที่เกษตรกรต้องรอคอย
เป็นช่วงเวลาที่เกษตรกร “ทำงานร่วมกับพระผู้ทรงสร้าง”
เกษตรกรมิได้อยู่ว่างเฉย ๆ งานของเขาต้องดูแลเอาใจใส่พืชที่เขาหว่านและปลูก การให้น้ำหรือรดน้ำให้พอเพียงและเหมาะสม การป้องกัน และ กำจัดศัตรูพืช และ วัชพืช ในขณะที่พืชเจริญ เติบโต
เกิดดอก ออกรวง แล้วเกิดผล
เกษตรกรไม่สามารถทำให้พืชมีพลังชีวิตตามกระบวนการชีวิตที่เติบโตของมันได้
แต่พระเจ้าทรงเอาใจใส่และทรงกระทำพระราชกิจในส่วนนี้ของพระองค์ผ่านกระบวนการธรรมชาติที่ทรงสร้าง
ดังนั้น ช่วงเวลาของ “การรอคอย”
จึงมิใช่ช่วงเวลาของการอยู่เฉย ๆ มิใช่เป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อหน่าย
เพราะถ้าเกษตรกรปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ ไม่กระตือรือร้น
แทนที่จะใช้เวลาช่วงนี้ร่วมในพระราชกิจกับพระเจ้าในพืชที่เขาหว่านและปลูกแล้ว ท่านคงจินตนาการได้ว่าพืชที่เขาปลูกจะเกิดผล
และ เกษตรกรได้รับผลอะไรบ้างจากการรอคอยที่เฉื่อยชาของเขา การรอคอยของคริสตชนจึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องทำงานร่วมกับพระเจ้าอย่างสนิทใกล้ชิด และเคียงข้างไปด้วยกัน
ในช่วงของ “การรอคอย”(ผลผลิต) จึงเป็นช่วงเวลาที่ “บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์”
อย่างยิ่งสำหรับคริสตชน และ สำหรับทุกคนด้วย
เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตและทำงานในแต่ละวันเคียงข้างไปกับพระเจ้าแบบ
“ไหล่ชนไหล่”
เราได้เรียนรู้ถึงพระลักษณะ
จิตใจ
และพระประสงค์ของพระองค์เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น มิใช่สัมผัสด้วยจินตนาการเท่านั้น
แต่สัมผัสพระองค์ผ่านการทำงานและการดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วย พระเจ้า(ตัว)จริงจึงมิได้ถูก “กักขัง”
ไว้ในพระคัมภีร์ แต่ทรงสำแดงพระองค์ในชีวิตประจำวันของเราที่ชัดเจนขึ้น
แต่สิ่งที่ท้าทายสำหรับเราแต่ละคนคือ ในช่วงเวลาแห่ง “การรอคอย” เราได้ให้เวลาที่จะ
“เก็บเกี่ยวประสบการณ์กับพระเจ้า” ในแต่ละวันหรือไม่? น่าเสียดายมากครับ เราปล่อยให้ “ประสบการณ์ชีวิตอันอุดม”
ที่เราได้สัมผัสในแต่ละวันผ่านเลยชีวิตจิตใจของเราไป
ชีวิตของเราเป็นถังก้นรั่วที่มิได้รองรับพระพรที่พระเจ้าทรงเปิดเผย และ
ประทานแก่เราเลย เราปล่อยให้พระพรพระเจ้าผ่านเลยชีวิตของเราไปวันแล้ววันเล่าในช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้ ผมอยากจะพูดอย่างนี้ว่า ในช่วงเวลาแห่งการรอคอย เป็นช่วงเวลาที่เราต้อง
“ถอดบทเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานเคียงข้างพระเจ้าไปวันต่อวัน และ
ทุกวันทีเดียวครับ”
อย่าให้เรามัวแต่ “นั่งรอผลที่เราอยากได้” จนมองข้ามช่วงเวลาแห่งการรอคอยถึงโอกาสที่เราจะ
“เก็บเกี่ยว” สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่า “ผลที่เราอยากได้” ที่เรากำลังรอคอย คือ
โอกาสที่จะได้ทำงานเคียงข้างไปกับพระเจ้า
มีโอกาสสนิทใกล้ชิดกับพระองค์ในชีวิตประจำวัน ผ่านการงานที่เราทำ และนี่คือโอกาสทองแห่งการได้สัมผัส มีประสบการณ์ชีวิต และเรียนรู้ถึงน้ำพระทัย และ พระประสงค์ของพระองค์ และนี่คือ “พระพรซ้อนพระพร”
ในช่วงเวลาแห่งการรอคอย
ท่านมอง “ช่วงเวลาแห่งการรอคอย”
ในชีวิตของท่านอย่างไรครับ?
“ข่วงเวลาแห่งการรอคอย” เป็นช่วงเวลาที่เราไว้วางใจในแผนการ และ
การทำงานของพระเจ้าในชีวิตของเรา
แล้วเราได้ใช้โอกาสนี้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ผ่านอาชีพการงานและการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา จนเราได้พบว่า ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยคือช่วงเวลาแห่ง
“การเก็บเกี่ยว” การเรียนรู้ถึงน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราชัดเจนยิ่งขึ้นหรือไม่?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น