การมาบังเกิดของพระคริสต์
เป็นการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและสำแดงพระองค์ในสภาพชีวิตเยี่ยงมนุษย์สามัญชนคนธรรมดา และดำรงชีวิตอยู่ในครอบครัวสามัญชนคนยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในเวลานั้น อยู่ในบ้านและชุมชนของคนธรรมดา อยู่ภายใต้การครอบงำของอำนาจเผด็จการทหารโรมัน และพวกเฮโรดขายชาติในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ผู้คนส่วนใหญ่จึงมองข้ามพระเจ้าที่ทรงสำแดงพระองค์
คนทั้งหลายจะมองไม่เห็นพระเจ้าที่มาอยู่กับเขาในสภาพมนุษย์สามัญชนคนธรรมดาส่วนใหญ่ที่ต่ำต้อยยากจนดูเหมือนไร้อำนาจ เพราะพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ที่แตกต่างจากที่มนุษย์ส่วนใหญ่คาดหวัง
พระองค์ไม่ได้ทำตามสิ่งที่มนุษย์ต้องการเห็น
พระเจ้าจะมาเกิดเป็นคนธรรมดาสามัญ และในชุมชนคนต่ำต้อยเล็กน้อยได้อย่างไร
การที่มารีย์และโยเซฟ
เป็นคนยากจนสามัญชนธรรมดา
ที่ยอมตนตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ยอมร่วมในกระบวนแห่งพระราชกิจของพระเจ้า
ที่ต้องกระทำงานนี้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้เราตระหนักคิดได้ว่า การที่พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ท่ามกลางความยากจนข้นแค้นลำบากเช่นนี้เป็นเหมือนแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดสนิทที่มองไม่เห็นอะไร เพราะผู้คนไม่คิดว่าตนจะเห็นอะไรได้
การที่คนเลี้ยงแกะ คนบ้านนอกคอกนา คนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีฐานะ กลับกลายเป็นคนกลุ่มแรกที่สุด ที่ได้รับการเปิดเผยแจ้งข่าวยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระเจ้า คือการมาเกิดของพระคริสต์ในโลกนี้ แม้จะเป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน แต่พระเจ้าเห็นถึงความสำคัญยิ่งของพวกเขา และที่เขาได้รับรู้ข่าวดีนี้จากทูตสวรรค์เพราะ
“เขาตื่นรู้ในเวลานั้น”
เตือนเราให้ระมัดระวังว่า ชีวิตของเราต้องตื่นรู้เสมอ และเมื่อ “ข่าวดี”
จากพระเจ้าปรากฏขึ้นในถิ่นทุรกันดารแล้งแห้งแห่งชีวิตของเรา เราจะได้ตื่นรู้และชื่นชมยินดีอย่างคนเลี้ยงแกะในครั้งนั้น
แล้วเราจะได้เข้าไปนมัสการพระกุมารในคอกเลี้ยงสัตว์ที่ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่สนใจ
และ เมินหนีด้วยซ้ำ
ความจริงที่นักปราชญ์คนต่างชาติที่พวกยิวมองด้วยสายตาที่เหยียดหยาม ที่เป็นพวก “มิได้รับสุหนัต” พวกที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่มแห่งพระพรของพระเจ้า เป็นผู้รู้นักปราชญ์ที่ได้รับการทรงเปิดเผยทาง
“ดวงดาว” ผ่านความรู้ในศาสตร์ที่พวกเขาร่ำเรียน
แต่กลับมิใช่พวกปุโรหิต
ธรรมมาจารย์ อาลักษณ์ ฟาริสี
หรือนักการเมืองอย่างพวกสะดูสี
หรือ ไม่มีแม้แต่ตัวแทนในสภา (ซันเฮ็ดริน) สิ่งนี้เตือนเราให้ระมัดระวังที่มั่นใจเกินจริงว่า
“ชีวิตของเรารอดแล้ว”
“สำคัญผิดคิดว่าตนเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้” แต่พระเจ้ากลับไปใช้คนนอกรีต ในงานสำคัญยิ่งของพระองค์ พระองค์กลับไม่ทรงใช้เรา?
พระเจ้าแห่งสามัญชน และที่สำคัญพระองค์ทรงใช้คนธรรมดาสามัญในการสานต่อพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่ในขวบปีที่ผ่านมา
เรามักพบแต่คนที่พยายามที่จะหาทางทำตนเป็นคนสำคัญ คนมีตำแหน่งสูง ๆ แล้วอ้างว่าเพื่อที่จะรับใช้พระเจ้า ไม่เป็นศาสนาจารย์ก็รับใช้พระเจ้าได้ครับ ไม่ได้เป็นผู้บริหารสภาฯ ก็รับใช้พระเจ้าได้ครับ
ไม่ได้เป็นกรรมการอำนวยการก็รับใช้พระเจ้าได้ครับ อย่าอ้างว่าถ้าได้ตำแหน่งสูง มีอำนาจ มีหน้าที่แล้วจะทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่ ๆ
สำคัญ ๆ ได้ ไม่จริงครับ โกหกตนเองทั้งสิ้น
ที่แน่ชัดคือ พระคริสต์มาบังเกิดเป็นสามัญชน อยู่กับสามัญชน และเป็นสามัญชน
ถ้าเราท่านต้องการพบพระคริสต์เราต้องกลับคืนสู่สามัญชนเพื่อที่จะพบเห็นพระองค์ในชีวิตและในชุมชนของสามัญชน
แม่ชีเทเรซา เคยกล่าวไว้ว่า...
“ในพิธีมหาสนิทฉันเห็นพระคริสต์ในขนมปัง
ในสลัมฉันเห็นพระคริสต์ในคนจนที่เปล่าเปลือยและถูกทอดทิ้ง
สำหรับฉันพิธีมหาสนิทและคนจนเป็นคนรักคนเดียวกัน
ในสวรรค์เท่านั้นที่เราจะรู้ว่าเราเป็นหนี้คนจนมากมายเพียงใด
ที่พวกเขาช่วยให้เรารักพระเจ้าได้ดียิ่ง
ๆ ขึ้น
เป็นการง่ายที่จะรักคนที่อยู่ไกล
ยิ่งเป็นการง่ายกว่าที่จะให้ข้าวสักชามหนึ่งแทนการช่วยบางคนในบ้าน...
ให้พ้นจากความว้าเหว่
เดียวดาย และความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรักเขา”...
ปีใหม่นี้ เราท่านพร้อมที่เป็นอย่างพระคริสต์ไหม? เราจะมีชีวิตอย่างสามัญชนคนยากจนทั่วไปได้หรือไม่? แต่แม่ชีเทเรซาพูดไว้อย่างชัดเจนว่า “รักพระเยซูท่ามกลางประชาชน รับใช้พระองค์ท่ามกลางมวลชน รักแท้นั้นเจ็บปวดเสมอ นั่นจะเป็นรักแท้และบริสุทธิ์...”
พระคริสต์มาเกิดเป็นสามัญชน กำลังอยู่กับสามัญชน ท่านต้องการจะพบพระองค์หรือไม่ครับ? ถ้าอยากพบท่านก็ต้องลงไปหาพระองค์ที่อยู่ท่ามกลางสามัญชนคนธรรมดา
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น