ในแต่ละวัน
เราจะพบทั้งคนที่รู้จักมักคุ้น
และก็พบคนแปลกหน้า คนที่อยู่นอก
“สายตา” ของเรา คนที่เราไม่คาดคิดว่าอยากจะพบ และที่สำคัญอีกพวกหนึ่ง คือคนที่เราไม่ต้องการพบ และอยากให้คนพวกนี้อยู่ห่าง ๆ เรา หรือเราจะพยายามห่างคนพวกนี้
คำถามก็คือ ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน
เราจะกระทำต่อคนเหล่านี้อย่างไรดี?
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรู บอกเราว่า เราไม่ควรละเลยที่จะต้อนรับคนเหล่านี้...เพราะอาจจะเป็นการต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
(13:2)
พระเยซูบอกแก่เราว่า ถ้าเราต้อนรับคนแปลกหน้า คนที่ไม่มีใครอยากคบพบเห็น คนที่ต่ำต้อยด้อยค่า เราก็ได้ต้อนรับกับพระคริสต์ เราทำต่อคนอื่นอย่างไรในแต่ละวัน เราก็ทำกับพระคริสต์เช่นนั้นในวันนั้นด้วย
(มัทธิว 25:38-40)
แต่ละวันที่ผ่านมา เราท่านกระทำต่อคนอื่นที่เราพบเห็น เหมือนกับที่เราตั้งใจต้องการกระทำต่อพระคริสต์หรือไม่? คำตอบที่เราอยากตอบก็คงแน่นอนครับ...
เราต้องการกระทำต่อคนเหล่านั้นเหมือนกระทำต่อพระคริสต์แน่
แต่ในความเป็นจริงเราได้กระทำเช่นที่ตั้งใจไว้หรือไม่เป็นเรื่องสำคัญครับ!
มนุษย์เราทุกคนคือคนที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายาของพระองค์
(ปฐมกาล 1:26-27)
และในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 1 ย้ำความสำคัญที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระคริสต์ถึงสามครั้งสามหนด้วยกัน ดังนั้น
การที่เราจะกระทำต่อคนใดคนหนึ่งที่เราประสบพบเห็นในแต่ละวัน เราต้องตระหนักชัดว่า เรากระทำต่อคนที่พระเจ้าทรงสร้าง
และ เป็นคนที่มีคุณค่าสำคัญในสายพระเนตรของพระองค์ ที่เราจะต้องกระทำแก่คนนั้นด้วยความนับถือ
ให้เกียรติ ด้วยความใส่ใจ และด้วยใจเมตตา
เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระองค์
แต่การที่เขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ไม่ได้ทำให้เขาคนนั้นมีพระฉายาของพระเจ้าต่ำต้อยด้อยค่าลงแต่ประการใดไม่
ถ้าเช่นนั้น
การยอมรับพระคริสต์
ก็ต้องยอมรับคนเล็กน้อยต่ำต้อยในชีวิตประจำวันของเราด้วย?
ศักเคียส คนเก็บภาษี ต้อนรับพระคริสต์ด้วยความชื่นชมยินดีหาที่เปรียบมิได้ ในต้นฉบับภาษากรีกใช้คำว่า “chairō” ซึ่งมีความหมายว่า “ชื่นชมยินดีอย่างสุด ๆ หาสิ่งเปรียบมิได้” แท้จริงแล้วศักเคียสไม่ได้คาดหวังว่า
พระเยซูจะกล้าเสี่ยงมารับประทานอาหารในบ้านของเขา
ขอตั้งข้อสังเกตว่าในเหตุการณ์นี้พระเยซูคริสต์เสนอตัวไปเยี่ยมเขาและรับประทานอาหารที่บ้านของเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้นำทางศาสนาคนไหนที่จะเข้าไปใต้ชายคาบ้านของคนบาปหนาระดับห้าดาว คือคนเก็บภาษีในยุคนั้น ศักเคียส
หวังเพียงมองให้เห็นพระเยซูที่เขาร่ำลือกันนักหนานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แต่พระเยซูคริสต์กลับเรียกเขาลงจากต้นไม้ และเอ่ยปากขอไปบ้านของเขา ขอพักในบ้านของเขา
นั่นแน่นอนว่าพระองค์จะรับประทานในบ้านของเขาด้วย
พระคริสต์ยอมรับคนที่คนอื่นเกลียด คนที่ถูกสังคมเฉดหัว เป็นคนบาปหนา
ไม่มีทางได้รับความรอด
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเยซูคริสต์ต่อชีวิตศักเคียสและครอบครัว ทำให้ศักเคียสตัดสินใจยอมรับพระคริสต์ในชีวิตและพร้อมครอบครัวของเขา
แต่การแสดงออกถึงการยอมรับพระคริสต์น่าสังเกตมากครับ ศักเคียสยอมรับพระคริสต์ ด้วยการประกาศการยอมรับ คนที่ตนเกี่ยวข้องด้วย
เขาขอมอบทรัพย์สิ่งของที่เขามีอยู่ครึ่งหนึ่งให้คนยากจน และถ้าเขาโกงเงินภาษีของใครมาเขายินดีชดใช้คืน
4 เท่า ซึ่งมากกว่าที่กำหนดไว้ในธรรมบัญญัติ และพระคริสต์ประกาศว่า
ความรอดได้มาถึงครอบครัวนี้แล้ว (ลูกา 19:9) ความรอดจากพระคริสต์มิได้เริ่มต้นที่ศาสนพิธี เช่น
รับบัพติศมา
แต่เริ่มต้นที่เขารับพระคริสต์เข้าในชีวิตของเขา และ
กระทำอย่างที่พระคริสต์ทรงกระทำแก่เขากับคนรอบข้างด้วย
ความชื่นชมยินอย่างล้นเหลือหาที่เปรียบมิได้เกิดขึ้นในชีวิตของศักเคียสและครอบครัว
และความชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้นดังกล่าวได้ไหลล้นเข้าสู่ชีวิตคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างเขาด้วย
เปโตรกำชับคริสตจักรว่า ให้คริสตชนแต่ละคนต้อนรับเลี้ยงดูกันและกันด้วยความเต็มใจ
(1เปโตร 4:9) เปาโลสั่งให้คริสตชนมีใจเมตตาเห็นอกเห็นใจคนขัดสน และเต็มใจต้อนรับแขกแปลกหน้า (โรม 13:13) และสัจจะความจริงสำหรับคริสตชนคือ ถ้าเราแบ่งปันอาหารของเราแก่คนที่หิว นำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้าน คลุมกายแก่คนที่เปล่าเปลือย (อิสยาห์ 25:40) การกระทำเช่นนี้ของเราก็เป็นการกระทำแก่พระคริสต์ด้วย (มัทธิว 25:40)
ขอให้เราใคร่ครวญจริงจังในเรื่องนี้ว่า ถ้าเรากระทำแก่ทุกคนที่เราพบเห็นในวันนี้ดั่งที่เราตั้งใจกระทำต่อพระคริสต์อะไรจะเกิดขึ้น?
ซึ่งคนเหล่านี้ก็เป็นลูกคนหนึ่งของพระเจ้าด้วย สำคัญกว่านั้น
เขาก็เป็นคนหนึ่งที่พระคริสต์ได้เอาชีวิตของพระองค์แลกมาด้วย (กิจการ 20:28)
ท่านคิดว่า การกระทำต่อคนรอบข้างที่เราพบเห็นในวันนี้จะเป็นการกระทำต่อพระคริสต์หรือไม่?
แล้ววันนี้เราได้กระทำต่อพระคริสต์อย่างไรบ้างครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น