19 มกราคม 2560

ถอดบทเรียนชีวิตที่พระคริสต์ “บ่มเพาะ” ในสาวก (4)

คำพูด...ส่อสื่อถึงจิตใจของคนพูด
                       
พระคริสต์มิได้ “บ่มเพาะชีวิตสาวก” ด้วยคำเทศน์ คำสอน หลักข้อเชื่อ และ การประกอบกิจในคริสตจักรเท่านั้น   แต่พระองค์ทรงใช้แบบอย่างการดำเนินชีวิตของพระองค์  พร้อมกับการกระตุ้นให้สาวกได้คิด  และท้าชวนให้เขาต้องตัดสินใจให้ปฏิบัติชีวิตสาวกของพระองค์ในชีวิตประจำวัน  ในทุกบริบทสถานการณ์ชีวิต              

ข้อเขียนตอนนี้เป็นตอนที่ 4 ในบทความเรื่อง ถอดบทเรียนชีวิตที่พระคริสต์ “บ่มเพาะ” ในชีวิตสาวก

“...ด้วย​ว่า​ปาก​นั้น​พูด​สิ่ง​ที่​มา​จาก​ใจ   คน​ดี​ก็​เอา​ของ​ดี​มา​จาก​คลัง​แห่ง​ความ​ดี​ใน​ตัว​ของ​เขา คน​ชั่ว​ก็​เอา​ของ​ชั่ว​มา​จาก​คลัง​แห่ง​ความ​ชั่ว​ใน​ตัว​ของ​เขา” (มัทธิว 12:34-35 มตฐ.)  

คำพูดมิเป็นเพียงการสื่อสารกันในสังคมมนุษย์เท่านั้น   แต่คำพูดนั้นส่อสื่อออกมาถึงฐานคิด ความรู้สึก  และส่วนลึกแห่งจิตใจของคน ๆ นั้น   และเมื่อนำเอาคำที่พูด กับการกระทำที่แสดงออกมาเทียบเคียงกัน   เราก็จะได้รู้ถึงสภาพจิตใจของคน ๆ นั้นได้เป็นอย่างดี

คำพูดถูกกลั่นกรองจากเจตนาที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ   ดังนั้น คำพูดจึงออกมาพร้อมกับพลังแห่งเจตนา   ย่อมมีพลังที่จะทำให้ก่อเกิดสิ่งดี หรือ สิ่งร้าย  ย่อมมาจากความปรารถนาดีหรือการปรารถนาร้าย   บางครั้งดูเหมือนเป็นคำพูดธรรมดา   หรือบางครั้งทำเหมือนพูดเล่นกัน   แต่ก็สามารถที่จะทำร้ายทำลายความรู้สึกจนถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน   หรือ อาจจะเสริมสร้างความเข้าใจ และ ให้กำลังใจกันและกันก็ได้

การหลงเข้าไปอยู่ใต้อำนาจในความผิดบาปที่ปรากฏในพระธรรมปฐมกาลครั้งแรกก็เกิดจากคำพูดที่ “หลอกลวง” ของอำนาจแห่งความบาปชั่ว   เพราะคำพูดสามารถกลั่นกรองมาจากฐานคิดแห่งความชั่วของอำนาจบาปชั่ว   และสำแดงฤทธิ์เดชต่อคุณค่า ความหมาย และการเป็นอยู่ของชีวิตมนุษย์โลกพร้อมทั้งสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

ความอิจฉาตาร้อนก็ทำคน ๆ นั้นไม่สามารถพูดดีกับคนบางคน   และบางครั้งก็พูดหลอกลวงเพื่อหาโอกาสทำร้ายทำลายคนที่ตนอิจฉาไม่พอใจ   อย่างเช่นคาอินทำกับอาเบล

ในคริสตจักรปัจจุบัน   ก็ประสบกับพลังจากคำพูดของผู้คนในและนอกคริสตจักร   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของคนในคริสตจักรที่บางครั้งที่เป็นภัยเงียบบ่อนเซาะรากฐานความมั่นคงของคริสตจักรและความเชื่อศรัทธา   คำพูดที่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับการพูด “โกหก หลอกลวง”   ซึ่งหมายถึงคำพูดที่พูดความจริงแต่บางส่วน แล้วซ่อนเร้นความจริงในส่วนที่เหลือไว้   อาการเช่นนี้มักพบมากในพวก “เล่นการเมือง” ในองค์กร

ทำอย่างไรที่จะทำให้วงการคริสตจักร “ปลอด” วิธีการของพวก “นักการเมือง”  และคนในคริสตจักรต้องไม่ยอมตนให้หลงตกลงในกับดักคำพูดที่ว่าจะให้ผลประโยชน์เป็นตัวจูงใจ   มิเช่นนั้นแล้ว   คริสตจักรก็จะประสบกับการแบ่งขั้วแยกพวก  ความแตกแยก  การชิงดีชิงเด่น   และในที่สุดก็นำไปสู่การกล่าวโทษ ทำร้ายทำลายในลักษณะต่าง ๆ  

สาวกของพระคริสต์ต้องระมัดระวังใส่ใจในคำพูดของตน   มิใช่ “พูด” เพื่อที่ตนจะ “ได้” อย่างใจปรารถนาของตนเท่านั้น   แต่พูดด้วยใจเมตตากรุณา และ พูดด้วยการให้ชีวิต   เพื่อให้เกิดชีวิตใหม่ในผู้คนที่เราพูดด้วย  กล่าวคือ เกิดกำลังใจ  เกิดการคิดใหม่  มุมมองใหม่ ความคิดใหม่ ความเชื่อใหม่  การตัดสินใจใหม่แก่ผู้คนรอบข้างเราวันนี้

หมายเหตุ: บทเรียนชีวิตเชิงปฏิบัติทั้ง 6 ประการผู้เขียนจะเสนอต่อจากนี้ในทุกวันๆละ 1 ประการ   ตลอดสัปดาห์นี้

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น