12 กุมภาพันธ์ 2561

ทำไมความนึกคิดถึงสำคัญนักหนา?


พระเจ้ามีประสงค์ที่จะเปลี่ยนความนึกคิดของท่านมากกว่าเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมชีวิตของท่าน

เรามักต้องการให้พระเจ้าขจัดปัญหา  ความเจ็บปวด  ความโศกเศร้า  ความเจ็บป่วย  ที่เกิดขึ้นกับเราออกไปเสีย  แต่พระเจ้าประสงค์ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเสริมสร้างความนึกคิดในชีวิตของเราก่อน   เพราะชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อความนึกคิดของท่านได้รับการพลิกฟื้นเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าก่อน   เมื่อความคิดของท่านเปลี่ยน ชีวิต พฤติกรรม ท่าที และ การดำเนินชีวิตในมิติต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย

เรียกว่า  พระเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงที่ต้นเหตุ   มิใช่เปลี่ยนแปลงที่สถานการณ์แวดล้อม  และผลพวงจากความนึกคิด  อันเป็นปลายเหตุ

ทำไมการที่เราเรียนรู้ที่จะจัดการกับความนึกคิดในตัวเราเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง?   มีเหตุผล 3 ประการคือ

ประการแรก   เพราะความคิดเป็นตัวควบคุมชีวิตของเรา

สุภาษิต 4:23 บอกเราว่า  “จงระวังให้ดี  ท่านคิดอย่างไร   ความคิดนั้นจะเป็นตัวกำหนดหล่อหลอมชีวิตของท่าน” (สมช.)   ความคิดของท่านมีพลังมีอานุภาพ และ มีความสามารถอย่างสูงในการหล่อหลอมชีวิตของท่านให้เป็นชีวิตที่ดีหรือเลวก็ได้  ตัวอย่างเช่น   ท่านยอมรับความคิดบางเรื่องที่มีคนบอกท่านว่า  “เมื่อชีวิตของท่านเติบโตขึ้น ชีวิตของท่านไม่มีคุณค่าอะไร  ท่านเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไร”   ถึงแม้มันเป็นความคิดที่ผิด  แต่ถ้าท่านรับเอาความคิดนั้นเป็นความคิดของท่าน  ความคิดนี้ก็จะหล่อหลอม และ ตอกย้ำว่าชีวิตของท่านเป็นอย่างความคิดดังกล่าว

ประการที่สอง  ความคิดคือพื้นที่สมรภูมิ ที่มารใช้เป็นพื้นที่ทำสงครามจิตวิญญาณ

การถูกทดลองทั้งสิ้นเกี่ยวข้องพัวพันกับความคิดของคนเราทั้งนั้น  เปาโลกล่าวในโรม 7:22-23 ว่า  “ในส่วนลึกข้าพเจ้าชื่นชมในพระประสงค์ของพระเจ้า   แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ฝังลึกในธรรมชาติฝ่ายต่ำของข้าพเจ้า   ที่กำลังทำสงครามต่อสู้กับความคิดของข้าพเจ้า  และมันชนะในสงครามครั้งนี้  ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกเป็นทาสของความบาปที่ยังฝังอยู่ในชีวิตของข้าพเจ้า   ในความคิดข้าพเจ้าต้องการที่จะเป็นคนรับใช้ที่พระเจ้าต้องการ   แต่ชีวิตของข้าพเจ้ากลับตกเป็นทาสของความบาป” (สมช.)

เหตุผลหนึ่งที่ความนึกคิดของเราอ่อนล้าหมดแรงก็เพราะในสมองของเราทำสงครามต่อสู้กันทั้งวันและคืน  และที่ชีวิตของเราอ่อนเพลียอ่อนกำลังก็เพราะมันต่อสู้กันอย่างเข้มข้น   ทั้งนี้เพราะ  สนามความคิดของเราเป็นสมบัติที่ล้ำค่า   และซาตานต้องการพื้นที่สมบัติอันสำคัญชิ้นนี้ของเราให้อยู่ใต้อำนาจบัญชาการของมัน

ถ้ามารสามารถเข้ายึด และ บงการพื้นที่ความนึกคิดของมนุษย์   มนุษย์ก็ตกอยู่ใต้อำนาจชั่วของมัน   มารจึงสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์ให้เป็นไปตามที่มันต้องการ  และในที่สุดมารก็ใช้มนุษย์ให้เปลี่ยนสังคมโลกทั้งสิ้นให้เป็นไปตามที่มันต้องการ

ประการที่สาม  เพราะความนึกคิดคือหัวใจที่นำไปสู่ศานติสุข

ความนึกคิดที่ไม่มีการควบคุมจัดการนำไปสู่ความตึงเครียด   ส่วนความนึกคิดที่มีการควบคุมจัดการนำไปสู่ความสงบ เยือกเย็น และ สันติ   ความนึกคิดที่ไม่มีการควบคุมจัดการนำไปสู่ความขัดแย้งสับสน   แต่ความนึกคิดที่มีการควบคุมจัดการนำไปสู่ความมั่นคง สงบนิ่ง   ความนึกคิดที่ไม่มีการควบคุมและจัดการนำไปสู่ความเครียดกังวล   เมื่อเราไม่พยายามที่จะควบคุมความนึกคิดของเรา และ นำการนึกคิดของเราเอง   เราจะประสบกับความเครียดมหาศาลในชีวิต   แต่ความคิดที่มีการควบคุมและนำการนึกคิด  จะนำเราไปสู่ความเข้มแข็ง มั่นคง และความสงบ แจ่มใส และ เยือกเย็น  

ในความเป็นจริงด้วยกำลังของเราเองก็ไม่สามารถที่จะฉุดกระชากลากยื้อกับอำนาจแห่งความบาปชั่วที่กำลังสู้กันในพื้นที่สนามความนึกคิดของเราได้   แต่ด้วยการทรงชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้า   แบบอย่างชีวิตของพระคริสต์ในการผจญกับอำนาจแห่งความบาปชั่ว   และ พระกำลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตประจำวันของเรา  จึงช่วยให้เราสามารถที่จะต่อกรกับอำนาจบาปชั่วได้

“การยอมปล่อยให้ความบาปชั่วมาควบคุมชีวิตของท่านนำไปซึ่งความตาย   แต่การยอมให้พระวิญญาณเข้าควบคุมความนึกคิดของท่านนำไปสู่ชีวิตและศานติสุข” (โรม 8:6 สมช.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น