09 กุมภาพันธ์ 2561

ผู้นำการเปลี่ยนแปลง เริ่มที่เปลี่ยนแปลงตนเองก่อน


“ความรอด” เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง

บ่อยครั้งผู้คนจะมองว่า...
“ความรอด” เป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นด้วยตาของเรา
“ความรอด” เรามักคิดถึงชีวิตที่จะไปสวรรค์ที่เรายังไม่เคยไป 
“ความรอด” เป็นเรื่องของความเชื่อศรัทธาที่เราจับต้องสัมผัสไม่ได้  

สำหรับผมในฐานะคริสตชนคนหนึ่ง   “ความรอด” เป็นเรื่องที่เป็นรูปธรรม  สัมผัส จับต้อง รู้สึก และ เห็นได้   ความรอดเป็นเรื่องของชีวิต   เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระคริสต์   ให้มีชีวิตใหม่ที่ดำเนินชีวิตประจำวันบนเส้นทางของพระคริสต์   เป็นชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วผู้คนเห็นได้ สัมผัสได้  รู้สึกได้   เป็นชีวิตที่พระองค์ทรงทำการเปลี่ยนแปลงทั้งความคิด มุมมอง จิตใจ  และการตัดสินใจเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ การดำเนินชีวิต  เป็นชีวิตใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์   เป็นชีวิตที่มีเป้าหมายสูงสุดตามพระประสงค์ของพระคริสต์   ที่นำไปสู่การร่วมงานเสริมสร้างแผ่นดินพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน

ชีวิตใหม่...มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับ “ความรอด”   เป็นความจริงที่ว่า ความรอดนั้นคือการมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์   ดังนั้น  ความรอดคือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต  เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านความคิด มุมมอง การตัดสินใจ  การกระทำ ตลอดถึงการพูดของเรา   ชีวิตใหม่จึงหมายถึงชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง  อย่างที่กล่าวไว้ใน 2โครินธ์ 5:17 ที่ว่า  ฉะนั้น​ถ้า​ใคร​อยู่​ใน​พระ​คริสต์ เขา​ก็​เป็น​คน​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​แล้ว สิ่ง​สาร​พัด​ที่​เก่า ๆ ก็​ล่วง​ไป นี่​แน่ะ​กลาย​เป็น​สิ่ง​ใหม่​ทั้ง​นั้น (มตฐ.)  นั่นหมายความชัดเจนว่า  คนที่เข้ามามีชีวิตในพระเยซูคริสต์  คือคนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตจากพระองค์   ชีวิตใหม่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว  ชีวิตเก่าเป็นเรื่องของอดีต   ปัจจุบันเป็นชีวิตใหม่ที่ได้รับการสร้างใหม่จากพระองค์

การเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ตามที่พระคัมภีร์อธิบาย   ชีวิตใหม่ในพระคริสต์เกิดขึ้นทันที และ เกิดขึ้นแน่นอน มั่นใจได้  แต่ในเวลาเดียวกัน ชีวิตใหม่ในพระคริสต์เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง   มิใช่เกิดขึ้นเหมือน “เหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต” แล้วก็เสร็จสิ้นจบหาย   แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาไปสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์ (ยอห์น 10:10)   นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง   พระองค์ทรงเปิดเผยให้เราเห็นถึงสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง  เป็นการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความครบบริบูรณ์ของชีวิตมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป   ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เจ้าตัวต้องตัดสินใจว่า ตนจะเข้ารับการเปลี่ยนแปลงและร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนจากพระคริสต์หรือไม่  

ซึ่งเราพบความจริงว่า  แม้ว่าเราบางคนได้เริ่มเข้ารับการเปลี่ยนแปลงชีวิตในพระคริสต์แล้ว แต่ต่อมาอีกระยะหนึ่งเรากลับต่อต้านหรือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง  กลายเป็นอุปสรรคสำหรับชีวิตของเราที่จะเจริญเติบโตที่สมบูรณ์   ดังนั้นจึงเกิดผลอย่างมากต่อ “ความเป็นความตาย” ในชีวิตการเป็นสาวกพระคริสต์ของคน ๆ นั้น  และยังเกิดผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้อย่างยิ่งยวดต่อการกระทำตามพระมหาบัญชาของพระองค์ในคน ๆ นั้น   อีกทั้งยังเป็นตัวขัดขวางต่อการเป็นทูตของพระคริสต์ที่สร้างการคืนดี  เมื่อคน ๆ นั้นหยุดที่จะเจริญเติบโตในพระคริสต์  และการมีภาวะผู้นำแบบพระคริสต์ก็จะหยุดชะงักไปด้วย

เป็นสัจจะความจริงว่า  คริสตชน หรือ ผู้นำคริสตชนมิใช่ผู้นำแบบ “ลูกอีช่างสอน หลานอีช่างสั่ง”  แต่บ่อยครั้งมักมิได้ทำในสิ่งที่ตนเองสอน ตนเองพูด หรือ ตนเองเทศน์  ภาวะผู้นำเช่นนี้ไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้   พระคริสต์ทรงกระทำหรือปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้สาวกและประชาชนเห็นชัดเป็นแบบอย่าง   แล้วจึงค่อยอธิบายและชี้ให้เห็นความสำคัญว่าทำไมพระองค์ถึงทำถึงประพฤติปฏิบัติเช่นนี้   แต่ผู้นำคริสตชนหลายต่อหลายคนในปัจจุบัน “ดีแต่พูด”   แต่ไม่ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างที่พูด   เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของผู้นำคริสตชนจึงไม่มีอิทธิพลทั้งต่อชุมชนคริสตจักรของตนเอง และ ชุมชนสังคมด้วย   ชีวิตของผู้นำคริสตชนเหล่านี้จึงไม่มีพลังที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้

ผู้นำคริสตชนเริ่มต้นที่ชีวิตรับการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น  ผู้นำคริสตชนจึงต้องเริ่มต้นภาวะผู้นำด้วยการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตนเองจากพระคริสต์  และร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำในชีวิตของตน   จนพัฒนาไปสู่พระราชกิจพระคริสต์ที่กระทำผ่านชีวิตของตนด้วย   ดังนั้น  ผู้คนก็จะเห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตประจำวันของผู้นำคริสตชน  นั่นหมายความว่าผู้คนจะเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้นำ   และอยากจะบอกดัง ๆ ว่า การมีชีวิตที่สำแดงพระคริสต์เช่นนี้มีพลัง อิทธิพล และ เสียงดังยิ่งว่า นักเทศน์ชื่อดังและเสียงตะโกนของพวกเขา(เวลาเทศน์)

ในภาวะสังคมโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม  การแบ่งแยกกีดกัน และเหยียดผู้อื่นให้ต่ำต้อยด้อยจมดินด้วยวิธีการต่าง ๆ  และการฉ้อฉลคดโกงแบบหน้าด้าน ๆ ที่ดารดาษเต็มไปหมดในสังคมโลก   เริ่มต้นตั้งแต่องค์กร/ชุมชนศาสนาไปจนถึงชุมชนคนขัดสนยากแค้น มิใยที่จะกล่าวถึงชุมชนคนมั่งมีร่ำรวยล้นฟ้าที่ไม่เคยรู้จักพอ 

ดังนั้น ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระคริสต์เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในยุดปัจจุบันนี้

ผู้นำคริสตชนกับการเปลี่ยนแปลงสังคมโลก

ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงสังคมโลก  เริ่มต้นที่การตรวจสอบใคร่ครวญถึงชีวิตของเราเองว่า  เป็นชีวิตแบบไหน  เป็นสาวกพระคริสต์แบบใด  และเป็นผู้นำที่มีชีวิตเพื่อใคร?   ให้เราเริ่มต้นที่จะใกล้ชิดกับพระเจ้า  เพื่อขอรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นชีวิตที่พระองค์ต้องการให้เป็น   ให้เรารับการเปลี่ยนแปลงให้มีวินัยชีวิตอย่างที่พระองค์ประสงค์   ให้เรารับการสร้างใหม่มีชีวิตใหม่ที่พระคริสต์จะใช้ให้เราทำงานของพระองค์ได้

เลิกที่คิดแต่ว่า “เราต้องมาก่อน” สิ่งอื่นใดหรือใคร ๆ (อย่างผู้นำประเทศมหาอำนาจคนหนึ่งได้พูดไว้) แต่ให้เราเริ่มที่จะให้ หรือ มอบชีวิตแด่พระคริสต์   เพื่อพระองค์จะเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างใหม่เพื่อเราจะสามารถ “ให้” ชีวิตของเราแก่เพื่อนบ้าน  และให้ชีวิตของเราแก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง   พระประสงค์ของพระคริสต์ต้องมาก่อน   แผ่นดินของพระเจ้าต้องมาก่อน  การให้ชีวิตเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่ในพระคริสต์ต้องมาก่อน   แล้วเราจะพัฒนาชีวิตไปสู่การเป็นสาวกที่มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์คนหนึ่งท่ามกลางผู้คนที่มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์

อย่า​ลอก​เลียน​แบบ​อย่าง​คน​ใน​ยุค​นี้ แต่​จง​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลง(ความคิดและ)​จิต​ใจ
แล้ว​อุป​นิสัย​ของ​ท่าน​จึง​จะ​เปลี่ยน​ใหม่ เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ทราบ​พระ​ประสงค์​ของ​พระ​เจ้า
จะ​ได้​รู้​ว่า​อะไร​ดี อะไร​เป็น​ที่​ชอบ​พระ​ทัย และ​อะไร​ดี​ยอด​เยี่ยม (โรม 12:2 สมช.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น