“ความรอด”
เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง
บ่อยครั้งผู้คนจะมองว่า...
“ความรอด”
เป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นด้วยตาของเรา
“ความรอด”
เรามักคิดถึงชีวิตที่จะไปสวรรค์ที่เรายังไม่เคยไป
“ความรอด”
เป็นเรื่องของความเชื่อศรัทธาที่เราจับต้องสัมผัสไม่ได้
สำหรับผมในฐานะคริสตชนคนหนึ่ง “ความรอด” เป็นเรื่องที่เป็นรูปธรรม สัมผัส จับต้อง รู้สึก และ เห็นได้ ความรอดเป็นเรื่องของชีวิต
เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระคริสต์ ให้มีชีวิตใหม่ที่ดำเนินชีวิตประจำวันบนเส้นทางของพระคริสต์ เป็นชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วผู้คนเห็นได้
สัมผัสได้ รู้สึกได้
เป็นชีวิตที่พระองค์ทรงทำการเปลี่ยนแปลงทั้งความคิด มุมมอง จิตใจ และการตัดสินใจเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ
การดำเนินชีวิต เป็นชีวิตใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
เป็นชีวิตที่มีเป้าหมายสูงสุดตามพระประสงค์ของพระคริสต์ ที่นำไปสู่การร่วมงานเสริมสร้างแผ่นดินพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน
ชีวิตใหม่...มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับ
“ความรอด” เป็นความจริงที่ว่า
ความรอดนั้นคือการมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์
ดังนั้น
ความรอดคือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านความคิด
มุมมอง การตัดสินใจ การกระทำ ตลอดถึงการพูดของเรา ชีวิตใหม่จึงหมายถึงชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง อย่างที่กล่าวไว้ใน 2โครินธ์ 5:17 ที่ว่า ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์
เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่า ๆ ก็ล่วงไป
นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น (มตฐ.)
นั่นหมายความชัดเจนว่า คนที่เข้ามามีชีวิตในพระเยซูคริสต์
คือคนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตจากพระองค์ ชีวิตใหม่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ชีวิตเก่าเป็นเรื่องของอดีต
ปัจจุบันเป็นชีวิตใหม่ที่ได้รับการสร้างใหม่จากพระองค์
การเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ตามที่พระคัมภีร์อธิบาย ชีวิตใหม่ในพระคริสต์เกิดขึ้นทันที และ
เกิดขึ้นแน่นอน มั่นใจได้
แต่ในเวลาเดียวกัน
ชีวิตใหม่ในพระคริสต์เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง มิใช่เกิดขึ้นเหมือน “เหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต”
แล้วก็เสร็จสิ้นจบหาย
แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาไปสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์
(ยอห์น 10:10) นั่นหมายความว่า
พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง
พระองค์ทรงเปิดเผยให้เราเห็นถึงสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความครบบริบูรณ์ของชีวิตมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เจ้าตัวต้องตัดสินใจว่า
ตนจะเข้ารับการเปลี่ยนแปลงและร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนจากพระคริสต์หรือไม่
ซึ่งเราพบความจริงว่า แม้ว่าเราบางคนได้เริ่มเข้ารับการเปลี่ยนแปลงชีวิตในพระคริสต์แล้ว
แต่ต่อมาอีกระยะหนึ่งเรากลับต่อต้านหรือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง กลายเป็นอุปสรรคสำหรับชีวิตของเราที่จะเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงเกิดผลอย่างมากต่อ “ความเป็นความตาย”
ในชีวิตการเป็นสาวกพระคริสต์ของคน ๆ นั้น
และยังเกิดผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้อย่างยิ่งยวดต่อการกระทำตามพระมหาบัญชาของพระองค์ในคน
ๆ นั้น อีกทั้งยังเป็นตัวขัดขวางต่อการเป็นทูตของพระคริสต์ที่สร้างการคืนดี เมื่อคน ๆ นั้นหยุดที่จะเจริญเติบโตในพระคริสต์ และการมีภาวะผู้นำแบบพระคริสต์ก็จะหยุดชะงักไปด้วย
เป็นสัจจะความจริงว่า คริสตชน หรือ ผู้นำคริสตชนมิใช่ผู้นำแบบ
“ลูกอีช่างสอน หลานอีช่างสั่ง” แต่บ่อยครั้งมักมิได้ทำในสิ่งที่ตนเองสอน
ตนเองพูด หรือ ตนเองเทศน์
ภาวะผู้นำเช่นนี้ไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้
พระคริสต์ทรงกระทำหรือปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้สาวกและประชาชนเห็นชัดเป็นแบบอย่าง
แล้วจึงค่อยอธิบายและชี้ให้เห็นความสำคัญว่าทำไมพระองค์ถึงทำถึงประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ แต่ผู้นำคริสตชนหลายต่อหลายคนในปัจจุบัน “ดีแต่พูด” แต่ไม่ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างที่พูด เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของผู้นำคริสตชนจึงไม่มีอิทธิพลทั้งต่อชุมชนคริสตจักรของตนเอง
และ ชุมชนสังคมด้วย ชีวิตของผู้นำคริสตชนเหล่านี้จึงไม่มีพลังที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้
ผู้นำคริสตชนเริ่มต้นที่ชีวิตรับการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ผู้นำคริสตชนจึงต้องเริ่มต้นภาวะผู้นำด้วยการยอมรับการเปลี่ยนแปลงตนเองจากพระคริสต์
และร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำในชีวิตของตน
จนพัฒนาไปสู่พระราชกิจพระคริสต์ที่กระทำผ่านชีวิตของตนด้วย ดังนั้น
ผู้คนก็จะเห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตประจำวันของผู้นำคริสตชน นั่นหมายความว่าผู้คนจะเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้นำ และอยากจะบอกดัง ๆ ว่า
การมีชีวิตที่สำแดงพระคริสต์เช่นนี้มีพลัง อิทธิพล และ เสียงดังยิ่งว่า
นักเทศน์ชื่อดังและเสียงตะโกนของพวกเขา(เวลาเทศน์)
ในภาวะสังคมโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม การแบ่งแยกกีดกัน และเหยียดผู้อื่นให้ต่ำต้อยด้อยจมดินด้วยวิธีการต่าง
ๆ และการฉ้อฉลคดโกงแบบหน้าด้าน ๆ ที่ดารดาษเต็มไปหมดในสังคมโลก
เริ่มต้นตั้งแต่องค์กร/ชุมชนศาสนาไปจนถึงชุมชนคนขัดสนยากแค้น
มิใยที่จะกล่าวถึงชุมชนคนมั่งมีร่ำรวยล้นฟ้าที่ไม่เคยรู้จักพอ
ดังนั้น
ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระคริสต์เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในยุดปัจจุบันนี้
ผู้นำคริสตชนกับการเปลี่ยนแปลงสังคมโลก
ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงสังคมโลก
เริ่มต้นที่การตรวจสอบใคร่ครวญถึงชีวิตของเราเองว่า เป็นชีวิตแบบไหน เป็นสาวกพระคริสต์แบบใด และเป็นผู้นำที่มีชีวิตเพื่อใคร? ให้เราเริ่มต้นที่จะใกล้ชิดกับพระเจ้า
เพื่อขอรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นชีวิตที่พระองค์ต้องการให้เป็น
ให้เรารับการเปลี่ยนแปลงให้มีวินัยชีวิตอย่างที่พระองค์ประสงค์
ให้เรารับการสร้างใหม่มีชีวิตใหม่ที่พระคริสต์จะใช้ให้เราทำงานของพระองค์ได้
เลิกที่คิดแต่ว่า
“เราต้องมาก่อน” สิ่งอื่นใดหรือใคร ๆ (อย่างผู้นำประเทศมหาอำนาจคนหนึ่งได้พูดไว้)
แต่ให้เราเริ่มที่จะให้ หรือ มอบชีวิตแด่พระคริสต์
เพื่อพระองค์จะเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างใหม่เพื่อเราจะสามารถ “ให้”
ชีวิตของเราแก่เพื่อนบ้าน
และให้ชีวิตของเราแก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระประสงค์ของพระคริสต์ต้องมาก่อน แผ่นดินของพระเจ้าต้องมาก่อน
การให้ชีวิตเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่ในพระคริสต์ต้องมาก่อน แล้วเราจะพัฒนาชีวิตไปสู่การเป็นสาวกที่มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์คนหนึ่งท่ามกลางผู้คนที่มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์
อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้
แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง(ความคิดและ)จิตใจ
แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า
จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย
และอะไรดียอดเยี่ยม (โรม 12:2 สมช.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com; 081 289 4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น