พระเจ้าประทานวันจันทร์ถึงวันเสาร์ให้เป็น
“วันแห่งพระพร” ที่ให้เราแต่ละคนเข้าไปในสังคมชุมชนเพื่อนำ “พระพรของพระเจ้า”
ไปยังชีวิตของคนต่าง ๆ รอบข้างเรา ผ่านการดำเนินชีวิตประจำวัน และ
การประกอบอาชีพของเรา
สำหรับคริสตชน
งานอาชีพของแต่ละคนเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าที่มีต่อคน ๆ นั้น ที่เราแต่ละคนจะต้องตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์
ด้วยจิตใจแห่งการภาวนาอธิษฐาน ทูลขอให้การดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพการงานในแต่ละวันของเราให้เป็นไปตามพระประสงค์แห่งการทรงเรียกของพระองค์อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น
การอธิษฐานที่เกิดเป็นพระพร จึงมิใช่การอธิษฐานด้วยคำพูดเท่านั้น แต่เป็นการอธิษฐานด้วยปฏิบัติการในชีวิตประจำวัน
น้อยนักที่คริสตชนจะคิดที่ว่า
“การทำงานเป็นการอธิษฐาน” “การทำอาชีพเป็นการนำพระพรไปถึงคนอื่น” ส่วนมากเราจะมองว่าการทำงานนั้นเป็นอาชีพ
เป็นสิ่งที่เราใช้เวลา
ความรู้ความสามารถในการทำเพื่อเราจะได้รับรายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ
แต่ในความเป็นจริง
คริสตชนทำงานอาชีพในแต่ละวันนั้นเป็นโอกาสที่เราจะทำงานเพื่อตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้าให้รับใช้คนอื่นและเพื่อประโยชน์สำหรับคนอื่น
เป็นการกระทำเพื่อ “ให้สิ่งดี ๆ ในชีวิต” เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นในพระนามของพระคริสต์
ดังนั้น การทำงานในแต่ละวันของแต่ละคนเป็นการรับใช้คนต่าง
ๆ ตามการทรงเรียกของพระเจ้า ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการทำงานในคริสตจักร ในสถาบันหรือหน่วยงานคริสตชน
แต่อาจจะเป็นคนงานรับจ้าง กรรมกรก่อสร้าง เกษตรกร แพทย์ พยาบาล ครู อาจารย์ ผู้บริหาร
นักดนตรี ช่างเทคนิค เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า แม่ที่เลี้ยงทารก และ ฯลฯ คริสตชนเชื่อว่า
พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนรับใช้พระองค์ผ่านอาชีพและการงานที่เราทำ เพื่อรับใช้และกระทำสิ่งดีดีมีประโยชน์แก่ผู้อื่นในพระนามของพระเยซูคริสต์
ดังนั้น การออกแรง
ทุ่มเท ใช้สติปัญญา และ
ทักษะความสามารถของเราจึงเป็นคำอธิษฐานเชิงปฏิบัติการของเราในแต่ละวัน
แต่ละหน้าที่การงานที่จะเป็นพระพรแก่คนอื่นรอบข้าง และแก่คนที่รับบริการหรือใช้ประโยชน์จากงานที่เราทำ
สำหรับคริสตชนแล้ว ในหน้าที่การงานที่เราทำแต่ละวัน
เราสามารถที่จะตั้งใจทำเพื่อสำแดงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ กล่าวคือ
ความรักเมตตาที่เสียสละเยี่ยงพระคริสต์แก่ผู้คนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทุกคน
ขอตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในบริบทที่ไม่เอื้อ
หรือ
มีการต่อต้านการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งกีดกันการนำพระพรของพระเจ้าเข้าถึงผู้คนรอบข้าง
และ
ไม่สามารถขัดขวางการนำความรักเมตตาและเสียสละแบบพระคริสต์ที่สำแดงผ่านการทำงานอาชีพในประจำวันของเราไปถึงผู้คนวงกว้าง
ในการทำงานอาชีพของเราแต่ละวัน
เราสามารถเลือกที่จะทำงานนั้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ “น่าเบื่อหน่าย” หรือ
เราจะทำงานนั้นด้วยจิตอธิษฐานในพระนามของพระคริสต์ เพื่อเป็นการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผ่านการทำงานนั้น เพื่อให้เกิดสิ่งดีมีประโยชน์แก่คนรอบข้างและผู้รับบริการ
ดังที่พระคริสต์ตรัสถึงชีวิตที่เรานำพระพรไปยังคนรอบข้างนั้นควรมีลักษณะเช่นไร“
[25]
...“ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ปกครองของคนต่างชาติเป็นเจ้าเหนือเขาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา
[26] แต่สำหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม
ใครอยากเป็นใหญ่ในพวกท่านต้องรับใช้พวกท่าน” (มัทธิว 20:25-26 อมธ.) ขอตั้งข้อสังเกตว่า
ในสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่กระทำเช่นนี้คือ “ผู้เป็นใหญ่” ในพวกท่าน
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น